ย่างเข้าช่วงฤดูฝนแล้วชาวนาก็เริ่มทำนากันบางคนกำลังหว่านกล้าบางคนกำลังจะไถต่างคนต่างทำงานของ ตนเองฉันเองก็ต้องทำเหมือนคนอื่นเพราะเราทำเพียงไม่กี่วันเราก็จะมีข้าวไว้กินได้ทั้งปีแต่การทำนานั้นจะว่าเหนื่อยก็ยอมรับว่าเหนื่อยมากเพราะไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออกจะต้องทำเพราะถ้าหากทำช้ากว่าคนอื่นๆแล้วจะทำให้ข้าวเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆได้ง่าย
วันที่ 1 กรกฎาคม 2550 ฉัน ได้ไปร่วมเวทีบ้านถืมตอง ตำบลถืมตอง อำเภอเมือง จังหวัดน่านกับคุณสุพัต ขันตี เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยตำบลถืมตอง คุณอนงค์ อินแสง ผู้ประสานงานโครงการครอบครัวเข้มแข็ง น้องอู๋ อาสาสมัครจากศูนย์โจ้โก้ และคุณหมอคณิต ตันติศิริวิทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่านและเป็นประธานโครงการครอบครัวเข้มแข็งจังหวัดน่าน ซึ่งพวกเราทั้งหมดก็เป็นคณะทำงานโครงการครอบครัวเข้มแข็งจังหวัดน่าน
กิจกรรมดังกล่าวเป็นการพาน้องๆเยาวชนไปดูการทำนาตั้งแต่การหว่านกล้า การถอนต้นกล้า การปลูก ว่าแต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างไรบ้าง
แต่น่าเสียดายน้องเยาวชนที่ร่วมกิจกรรมวันนั้นล้วนแต่เป็นลูกชาวนาทั้งนั้น แต่ไม่มีใครปลูกข้าวเป็นเลย ทำให้ฉันอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ จะเป็นเพราะว่าเยาวชนไม่สนใจหรือเพราะพ่อแม่ไม่เคยสอนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันเลยนึกย้อนดูตัวเองว่าฉันเองก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกันเพราะฉันก็เป็นชาวนาคนหนึ่งแต่ฉันไม่เคยสอนลูกเลยทั้งๆที่เป็นวิชาที่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อลงทะเบียนเรียนเลยเรียนไปด้วยฝึกปฏิบัติไปด้วยโดยไม่ต้องไปจ้างครูที่ไหนเราต่างหากที่เป็นครูได้ดี
ค่านิยมที่หวังอยากจะให้ลูกเรียนสูงๆมหาวิทยาลัยที่ดังๆ จบออกมาแล้วมีงานทำไม่ต้องลำบากเหมือนตัวเอง ฉันเองคิดว่าจะเป็นความคิดที่ผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะบางคนเรียนจบแล้วต้องหางานทำตามบริษัทต่างๆในต่างจังหวัดจะเป็นงานอะไรก็ได้ และคนที่ตั้งใจทำงานก็พอจะมีเงินส่งมาให้ทางบ้านได้ใช้บ้าง แต่บางคนก็กลับสร้างหนี้สร้างสินมิหนำซ้ำยังเอาลูกมาให้ทางบ้านเลี้ยงอีกต่างหากหลายๆคนอยากกลับมาอยู่บ้านก็ไม่รู้ว่าจะมาทำอะไรถ้าจะทำไร่ทำนาตามบรรพบุรุษก็ทำไม่ได้เพราะตัวเองไม่เคยทำมาก่อนครั้นจะทำงานที่บริษัทตลอดก็ไม่ได้เพราะถ้าอายุมากแล้วก็จะถูกเลิกจ้างบ้านที่อยู่จะต้องเช่า ข้าวจะต้องซื้อและค่าครองชีพต่างจังหวัดกับบ้านเราจะแตกต่างกันมาก
ฉันทำนาไปก็คิดไปด้วยว่าถ้าฉันมีนามากกว่านี้ฉันจะใช้นาของฉันเป็นที่ทำกิจกรรมสำหรับเยาวชน โดยชักชวนเยาวชนมาหัดทำนาตั้งแต่การเก็บเมล็ดพันธ์ การเตรียมแปลง การไถ การปลูก ตลอดจนการเก็บเกี่ยวโดยจะเน้นภูมิปัญญาดั้งเดิมและเพื่อเป็นการปลุกจิตสำนึกแก่เยาวชน ในอนาคตถ้าเรียนจบแล้วอยากจะให้เยาวชนเหล่านี้กลับมาแผ่นดินถิ่นเกิดไม่ได้ทำงานตามบริษัทหรือรับราชการก็สามารถกลับมาทำไร่ทำนาใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง กลับมาเป็นแบบอย่างให้กับเยาวชนรุ่นต่อๆไปด้วย
คงจะเป็นทางออกที่ดีอีกแบบหนึ่งที่จะไม่ทำให้คนต้องไปแออัดอยู่ยังต่างจังหวัดและที่ดีไปกว่านั้นคือการได้อยู่กันแบบพี่แบบน้องมีความรักความอบอุ่นห่วงหาอาทรซึ่งกันและกันไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันแต่ ความฝันของฉันจะเป็นจริงได้หรือไม่ถ้าฉันยังเปลี่ยนความคิดของบรรดาพ่อแม่ที่ยังฝากความหวังลมๆ แล้ง ๆ กับลูกๆของตนเองอยู่
เก็บมาฝากโดย
ศุภรัตน์ เสาร์แดน 1 / 7 / 50ไม่มีความเห็น