ถูกข้าศึกรุกราน


การเดินทางของผมตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะปลดทุกข์จนกระทั่งได้ปลดปล่อยจริงๆ กินเวลานานร่วม 10 นาที สงสารลำไส้เป็นที่สุดที่เจ้าของร่างกายเรื่องมาก ไม่สามารถปรับตัวเรื่องส้วมให้เข้ากับการดำเนินชีวิตได้ดีเหมือนคนอื่นเขา

วันที่ 19 กรกฎาคม 2550

 วันพฤหัสบดีของสัปดาห์ที่ 11 นับไปอีก 119 วันก็จะได้กลับบ้านแล้ว ได้อ่าน blog ของอาจารย์หมอหน่อย จากโรงพยาบาลเชียงรายก็ทราบว่าท่านกลับบ้านแล้ว หลังจากที่เดินทางไปดูงานที่ฟลอริดาเป็นเวลา 2 เดือน เล่นเอาผมรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

                วันนี้ไป round เช้ากว่าปกติ เพราะว่าครูหาญเริ่มผ่าตัด 8 โมงเช้า แต่ผมจะอยู่ที่คลินิกกับอาร์เธอก่อน เรื่องราวดูเหมือนเป็นปกติ เลิก round ก็ไปกินข้าวจากร้านมังสวิรัติ แล้วไปนั่งซดกาแฟ (ของฟรีกลิ่นสตาร์บั๊ก) ที่ภาควิชา แล้วลงไปที่คลินิก เมื่อถึงเวลา 9 โมงก็เกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นกับลำไส้ผมอีกแล้ว มันเริ่มเคลื่อนตัวเร็วและแรงกว่าปกติ ประเมินแล้วว่าคงท้องเสียแน่ๆ และคงกลับบ้านไม่ได้ เพราะว่าต้องใช้เวลาตั้ง 12 นาทีกว่าจะเดินถึง ฝนก็กำลังตกหนักอยู่ข้างนอก อย่ากระนั้นเลย ไปที่ชั้น 6 ซึ่งเป็นห้องน้ำของภาควิชาดีกว่า สะอาดดี มีน้ำด้วย (ที่สิงคโปร์นี้เขาไม่มีน้ำฉีดให้นะครับ มีแต่กระดาษชำระเท่านั้น นี่แหละคือสิ่งที่ผมหวาดเสียวที่สุด) แต่สิ่งที่ผมประสบคือ มันไม่ว่าง ทำไงดี เดินไปดูอีกห้องที่เป็นส่วนรวมก็แสนสกปรก เดินกลับไปที่เดิมอีกครั้งก็ยังไม่ว่าง จึงตัดสินใจลงไปที่ชั้น 2 ในห้องผ่าตัด ก็พบว่า มีคนอาบน้ำอยู่ ไม่ดีแน่ ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเสียง จึงขึ้นไปที่ชั้น 6 อีกครั้ง พ่อเจ้าประคุณยังคงไม่เสร็จกิจ แล้วจะให้ผมทำยังไงดี เหงื่อเริ่มออกทั่วตัว ทั้งปวดท้องและเหนื่อย จากนั้นผมก็ลงลิฟท์ไปที่ชั้น 2 อีกครั้ง คราวนี้เลือกของสาธารณะ พบว่าสกปรกอีกแล้ว ไม่ไหวไม่ไหว ไปที่ชั้น 6 อีกครั้ง ท่านผู้นั้นก็ยังคงอยู่ (เดาว่าน่าจะเป็นคนเดิม) จะเข้าห้องส้วมสาธารณะของชั้น 6 (ที่เดิมที่ว่าสกปรก เพราะท่าจะไม่ไหว) ก็ดันกำลังมีคนทำความสะอาดอยู่ เดินวนกลับไปที่เดิม ท่านนั้นก็ยังไม่ออกมา สงสัยหลับไปแล้ว จึงตัดสินใจลงไปที่ชั้น 5 ที่เลือกชั้นนี้เพราะว่า เป็นชั้นเสริมสวยของโรงพยาบาล วอร์ดศัลยกรรมความงาม (เขาเขียนอย่างนี้จริงๆ) คนไม่มาก น่าจะสะอาด ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นอันว่า การเดินทางของผมตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะปลดทุกข์จนกระทั่งได้ปลดปล่อยจริงๆ กินเวลานานร่วม 10 นาที สงสารลำไส้เป็นที่สุดที่เจ้าของร่างกายเรื่องมาก ไม่สามารถปรับตัวเรื่องส้วมให้เข้ากับการดำเนินชีวิตได้ดีเหมือนคนอื่นเขา เฮ้อ สบายตัวไปเลย เสร็จแล้วก็ไปที่คลินิกต่อ เวลาก็ล่วงไป 9.30 น. (ทราบมาว่าอาร์เธอก็ท้องเสียเช่นเดียวกัน ไม่ทราบว่าเป็นคนที่อยู่ในห้องน้ำนั้นหรือไม่)

                ตอนบ่ายช่วยครูหาญผ่าตัด ก็ถูกชมบ้างด่าบ้างตามเรื่องตามราว เราทำเวลาได้ดีมาก สามารถผ่าตัดมดลูกออกทางช่องคลอดรวมทั้งทำรีแพร์ช่องคลอดส่วนหลังใช้เวลาเพียง 38 นาทีเท่านั้น น่าทึ่งครับ จากนั้นครูหาญก็ให้อาร์เธอผ่าตัดมดลูกทางหน้าท้องกับอาร์ลีน งานนี้ผมเป็นมือสาม เรื่องเล่าก็มีอีกจนได้

ครูหาญสั่งให้เขาสองคนช่วยกันผ่าคนละด้าน ปรากฏว่าอาร์เธอเล่นจะทำคนเดียว ครูหาญมาเจอจึงโดนตำหนิ (บอกแล้วว่า คำสั่งคือคำสั่ง) เหตุผลของท่านคือ เราต้องช่วยกันทำงาน ต้องร่วมกันเรียนรู้ นี่คือข้อดีที่ผมรู้สึกว่าท่านเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อเสร็จรายนี้ผมก็ออกมาเขียนบันทึกผ่าตัด ครูหาญจึงเริ่มอบรมสั่งสอนว่า เราควรทำตัวยังไง บริหารเวลาอย่างไร ท่านยังอ้างถึงเรื่องผมเมื่อวันก่อน ที่ซักประวัติคนไข้ทั้งๆที่ถูกสั่งให้ตรวจอย่างเดียว ท่านโกรธมาก งานนี้จึงได้มีโอกาสบอกไปเลยว่า ไม่ใช่ความผิดของผม ครูสั่งป้าซินเทียโดยที่ผมไม่ได้ยินและไม่รู้เรื่องด้วย และตอนนั้นคนไข้ก็มานั่งแล้ว จะให้ผมลุกขึ้นไปได้อย่างไรเล่า เห็นไหมว่าการลุกขึ้นของผมทำให้ครูถูกโวย งานนี้ท่านจึงเข้าใจ ผมก็เลยโล่งไปอีกเรื่อง

               

การผ่าตัดของอาร์เธอต่างจากครูหาญมาก ครูหาญผ่าเก่ง ผ่าเร็ว ไม่ค่อยมีปัญหา ไฟจะส่องถึงหรือไม่ไม่ค่อยสนใจ ส่งเครื่องมือผิดนิดหน่อยก็ไม่ค่อยบ่น เกะกะนิดหนึ่งก็ไม่เคยว่า แต่อาร์เธอรายนี้ ผ่าช้ากว่า (อันนี้ไม่ว่ากัน) เจ้าระเบียบ พยาบาลถูกด่าเจ็บๆเป็นประจำ ผมเองก็ถูกด่าบ่อยๆ แค่มือบังเล็กน้อยก็โดนแล้ว แต่ผมไม่ค่อยสนครับ บางทีแซวกลับด้วยซ้ำ การผ่าตัดแบบนี้ง่ายแสนจะง่าย คนที่นี่เขาจะไม่ผ่าตัดแบบประยุกต์เลยครับ ทำแบบไหนก็จะทำแบบนั้น ตามขั้นตอนออกนอกกรอบไม่ได้ ผมดูๆไป บางครั้งการออกนอกรูปแบบน่าจะช่วยให้ผ่าตัดง่ายกว่าเสียด้วยซ้ำไป แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเขา เขาจะเครียดก็เครียดไป เขาเครียดผมก็ฮัมเพลง ให้ฟัง สนุกอยู่คนเดียว..ฮา..ไม่ได้บ้านะครับ

                เลิกผ่าตัดราว 5 โมง ผมกับดันดี ก็ไปดูคนไข้ก่อนผ่าตัดด้วยกัน กว่าจะเสร็จก็ 6 โมงนิดๆ กลับภาควิชาอาร์ลีนเดินสวนออกมา ถามว่ามาจากไหน ผมก็ตอบก่อนคิดว่า Thailand งานนี้เล่นเอาขำกลิ้ง

                พูดถึง Thailand เวลาตรวจคนไข้ที่คลินิก เมื่อเขาถามว่าผมมาจากที่ไหน ผู้ช่วยจะตอบว่า ไทก่อ ผมก็จะแย้งว่า No! I’m KonThai not ThaiKor ก็ไทกอมันหมายถึงเรื้อนนี่นา ใครจะไปยอมได้ล่ะ หลังจากนั้น เมื่อคนไข้ถามก็จะชิงตอบไปก่อนเลยว่า I’m KonThai แค่นี้เขาก็รู้เรื่องแล้วครับ
หมายเลขบันทึก: 112876เขียนเมื่อ 19 กรกฎาคม 2007 20:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:32 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เรื่องหาห้องน้ำเข้า..นี่ ขำจังคะ...

   และเห็นภาพเลยคะเวลาอ่าน  ...การเรียนผ่าตัด...

ไม่ค่อยอยากเขียนคำแบบ ผ่าๆ เลยคะ...

     ต้องอารมณ์ดีไว้ก่อนนะคะ... 

สวัสดีครับคุณดอกแก้ว

ทรมานสุดหัวใจครับ โบราณว่าไว้ ๓ อย่างที่เราไม่สามารถห้ามได้ คือ คลอดลูก จาม และอึครับ

อ่านบทความของอาจารย์มานานแล้ว เลยเข้าใจว่าทำไมอาจารย์จึงไม่ชอบเรื่องผ่าๆ สู้ สู้ครับ คนเราเกิดมาครั้งเดียว ก็เพราะว่ามีคนต้องการให้เราสู้ครับ เขาจะทดสอบเราทุกอย่างด้วยข้อสอบที่แตกต่างกัน บางคนเจอข้อสอบยาก บางคนเจอข้อง่าย

แต่ก็นั่นแหละครับ หลายคนสอบผ่าน หลายคนสอบตก คนที่น่าสงสารที่สุดคือ คนที่ได้ข้อสอบง่ายแล้วสอบตกนี่น่ะสิครับไม่รู้จะว่ายังไง

ข้อสอบของอาจารย์ค่อนข้างออกไปทางยากครับ แต่คุณดอกแก้วอย่าเพิ่งท้อ เพราะมีคนที่ได้ข้อสอบยากกว่าคุณดอกแก้วอีกหลายคน บางคนเจอข้อสอบปราบเซียนเสียด้วยนะครับ

  • ตามมาขอบคุณ
  • แหมอยากพบตัวเป็นๆๆครับ
  • กว่าจะได้เข้าห้องน้ำยังลำบากเลยนะครับ
  • สรุปไม่ได้เป็นโรคไทกอนะครับ
  • ฮ่าๆๆๆๆ

สวัสดีครับท่าน

ขอบคุณที่ตามเงามาครับ

เรื่องห้องน้ำนี่ เป็นปัญหาของผมมาตั้งแต่ประถมแล้วครับ จะตายหลายทีก็เรื่องนี้นี่แหละ

ลงไปใต้เมื่อไหร่บอกบ้างนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท