ไทบรู คือ ชื่อของเครือข่ายชาวบ้านที่ดงหลวงซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิหมู่บ้านผ่านทางเครือข่ายอินแปง และโครงการ คฟป. ที่ผู้บันทึกรับผิดชอบอยู่ คำว่าไทบรูมาจากคำสองคำคือ ไท กับ บรู ไทหมายถึงชาวผู้ไท และบรูก็คือชาวบรูหรือโซ่ หรือกะโส้ ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งที่อพยพมาจากเมืองเซโปนจากฝั่งลาวเมื่อรัชกาลที่ 3 โดยประมาณนั้น
บุคลิคภาพของชาวบรูนั้นผู้บันทึกกล่าวบ้างแล้วว่าเป็นผู้ที่ชอบตั้งถิ่นฐานตามภูเขาและมีวิถีอยู่กับป่า ปัจจัยสี่นั้นจึงอาศัยป่าเป็นฐานแม้ปัจจุบันการพึ่งพึงป่าก็ยังมีมากกว่าชนเผ่าอื่นๆ ชอบความเป็นอิสระกล้าหาญในการสู้รบ ปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ช้ากว่าพี่น้องชาวผู้ไท พื้นฐานการศึกษาต่ำกว่าชนเผ่าอื่นๆ จึงมักถูกกล่าวหาเสมอว่า พูดจาไม่รู้เรื่อง ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง อะไรทำนองนี้
อย่างไรก็ตามเขาก็คือพลเมืองไทยที่เป็นชนเผ่าหนึ่ง และพื้นที่ดงหลวงส่วนหนึ่งก็อยู่ภายใต้โครงการพระราชดำริที่พระองค์ท่านทรงมีเมตตาแก่ผสกนิกรกลุ่มนี้ เราๆ ท่านๆ ควรมาช่วยกันคนละมือคนละไม้ ทดแทนพระองค์ท่าน และต้องมองว่า นี่คือความหลากหลายของสังคม นี่คือ แจกันสวยงามที่มีดอกไม้หลายสี บรูเป็นดอกไม้สีหนึ่งในสังคมเรา
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเครือข่ายไทบรูได้ประชุมกันโดยมีเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิหมู่บ้านจากเครือข่ายอินแปงมาดำเนินการประชุม เพราะอินแปงเป็นพี่ใหญ่ของเครือข่าย ภายใต้โครงการ คฟป.นี้ การประชุมมีหลายเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญหนึ่งคือการฟื้นฟูสมุนไพรท้องถิ่นขึ้นมาตามตำหรับที่มีอยู่ แน่นอนครับชุมชนแบบชนเผ่าย่อมมีปราชญ์ท้องถิ่นที่เป็นผู้รู้เรื่องสมุนไพรอยู่และกระจายไปตามหมู่บ้านต่างๆ แต่ละคนก็มีสมุนไพรเด็ดๆอยู่ และก็เป็นเรื่องรับรู้เฉพาะ ไม่โฆษณา ไม่ประชาสัมพันธ์ ไม่ได้ค้าขาย แต่รับใช้ชุมชนตามบทบาทที่บรรพบุรุษสั่งสมคุณธรรมและส่งต่อมาถึงปัจจุบัน
เพื่อเสริมสร้างความสำคัญและให้มีการเริ่มต้นการปฏิบัติจริงๆด้านการพึ่งตนเองทางสุขภาพชุมชน ผู้ดำเนินการจึงสอบถามที่ประชุมว่า โรคภัย ไข้เจ็บอะไรที่พวกเราเป็นกันมาก สิ่งที่เราได้ยินก็คืออาการปวดเมื่อย โรคกระเพาะ โรคเบาหวาน โดยเฉพาะการปวดเมื่อยของร่างกายเป็นกันมากจากการทำงานหนักของร่างกายตามวิถีชีวิตเกษตรกรและคนพึ่งพิงป่า
หมอยาพื้นบ้านก็ยิ้มๆแล้วก็บอกสูตรตำรายาแก้โรคภัยดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องการปวดเมื่อย มีองค์ประกอบตำหรับยาดังนี้ หัวลิงหล่อน เครือนกกด ม้ากระทืบโรง เครือสะคร่าน ม่วยแดง กำลังหมูเก้า และรากแหน่งหอม ทั้งนี้เป็นชื่อท้องถิ่น แต่ละถิ่นอาจจะมีชื่อที่ผิดเพี้ยนไปบ้าง สมุนไพรเหล่านี้มีอยู่ในป่าดงหลวงทั้งสิ้น มีมากที่ไหนๆ หมอยาเป็นผู้รู้ดี และมักจะไม่บอกกล่าวกันมาก หรือกล่าวอีกทีก็คือ มีลักษณะปิดๆอยู่บ้าง ชาวบ้านทั่วไปเดินเข้าป่าอาจจะเหยียบสมุนไพรตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวก็ได้
ขณะคุยกัน หมอยาเดินออกไปหลังห้องประชุมแล้วก็หักยอดพืชชนิดหนึ่งมาชูให้ทุกคนดู “นี่ไงเครือนกกด” ทุกคนก็ฮือฮากัน ทำนองว่าใครต่อใครไม่รู้เลยว่าพืชที่ไปยืนฉี่รดเมื่อสักครูคือสมุนไพรตัวหนึ่ง..
ที่ประชุมตกลงกันว่า บ้านโน้นเอาสมุนไพรตัวนี้มา บ้านนี้เอาสมุนไพรตัวนั้นมา แล้วมาพบกันในสัปดาห์หน้า แล้วมาประกอบตำหรับยาสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยกันเป็นเบื้องแรก ตำรายาสมุนไพรโบราณนั้นเป็นการเรียนรู้จากบรรพบุรุษ ซึ่งอาจารย์จะไม่สอนให้กับทุนคนที่อยากรู้ อาจารย์จะสอนให้เฉพาะบางคนเท่านั้นที่อาจารย์เห็นว่าเหมาะสม
การไปเอาสมุนไพรท่านที่ไม่คุ้นเคยจะนึกไม่ออกว่ามันจะมีพิธีกรรมอะไรมากมาย ก็เดินขึ้นป่าขึ้นเขา พบที่ไหนก็ตัด ดึง ถอน หัก มาก็เท่านั้น หากท่านคิดเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้องครับ หมอยาท่านมีครู เหมือนการแสดงโขน ต้องมีพิธีไหว้ครู หรือยกครู การเข้าป่าเอาสมุนไพรก็ต้องใช้วิชาครู อันเป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษครูผู้ส่งต่อวิชาความรู้มาให้ เป็นการเคารพต่อเจ้าป่าเจ้าเขา ผีป่า นางไม้ หรือเจ้าของที่เราไม่รู้จักตัวตน เช่น จะต้องเดินทางไปเอาเฉพาะบางวันเท่านั้น ไม่ใช่ขึ้นป่าไปเอาทุกวัน เมื่อพบสมุนไพรที่ต้องการก็ต้องมีคำกล่าวเฉพาะ ของใครของมัน ต่างครูบาอาจารย์กันก็แตกต่างวิธีการบอกกล่าวกัน เป็นลักษณะเฉพาะ และการเอาสมุนไพรก็มิใช่โค่นต้นเอาแค่เปลือกอะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ จะมีวิธีการอนุรักษ์ไปด้วยเพราะจะต้องพึ่งพาเขาไปอีกนานจึงต้องรู้จักวิธีเอาโดยต้นพ่อต้นแม่เขาไม่ตายลงไป
ผิดกับกลุ่มพวกเอาของป่าเชิงธุรกิจ ที่ไม่สนใจคุณค่า วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น สนใจแต่มูลค่าเพียงอย่างเดียว พวกนี้แหละทำลายทรัพยากรธรรมชาติแท้จริง เท่ากับฆ่าตัวเอง ทำลายตัวยาสมุนไพรอันที่ครอบครัวของเขาพึ่งพาอาศัยมาแต่อดีตจนปัจจุบัน เขาไม่เคารพความอุดม แต่ตักตวง
การที่เครือข่ายไทบรูริเริ่มแม้จะช้าแต่ไม่สายเกินไป และการริเริ่มที่ดีจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีเพื่อคงคุณค่าของป่าและส่งต่อให้ลูกหลายของเราต่อไปในภายภาคหน้า กระบวนการทำงานพัฒนา เพียงกระตุ้นเตือน เชื่อมต่อ สร้างคุณค่า เสริมภูมิปัญญา ยกระดับองค์ความรู้ให้แสดงบทบาทศักยภาพของเนื้อแท้ออกมา เพื่อพี่น้อง ท้องถิ่นของเขา มันเป็นงานเล็กๆ แต่สาระสำคัญและใหญ่มากพอที่เราจะจัดเข้าสู่แนวทางการพัฒนาพร้อมกับขบวนอื่นๆ และตั้งใจจะทำดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดต่างๆ.. ดงหลวงเป็นเพียงชนบทเล็กๆ ห่างไกลศูนย์กลางความเจริญ บทความนี้เป็นเพียงช่องทางเล็กๆที่บอกให้ประชาสังคมคมบางส่วนได้รับรู้กิจกรรมที่คนกลุ่มหนึ่งเขาทำกันเท่านั้น
สวัสดีครับพี่บางทราย
บันทึกนี้ยาวดีนะครับ และก็เป็นบันทึกที่มีมีการใส่ภาพประกอบ แต่ก็ได้อ่านจนจบเพราะว่ามีเทคนิคการใช้สีของตัวอักษรมาช่วยทำให้อ่านได้ง่ายขึ้น ไม่เบื่อครับ
ขอบคุณสำหรับเกร็ดความรู้ครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ภูคา
วันนั้นพี่ไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไปด้วยครับ เลยไม่ได้รูปมา แต่เอาสาระมาฝากกันครับ เอามือถือถ่ายรูปเหมือนกันแต่คุณภาพรูปไม่ดีพอเลยไม่เอามาใส่ครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ภูคา
สวัสดีค่ะคุณบางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
แวะมาลงทะเบียนว่าอ่านแล้วค่ะ ^ ^ ดิฉันหายไปหลายวันค่ะ เพิ่งได้มีโอกาสมาอ่านบันทึกคุณบางทรายวันนี้เอง
โครงการฟื้นฟูความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรท้องถิ่นนี้ดีมากเลยนะคะ เป็นการถ่ายโอนเผยแพร่ความรู้ไกล้ตัวจากปราชญ์พื้นบ้าน มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ
ขอแสดงความชื่นชมในการทำงานของผู้เกี่ยวข้องทุกท่านค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์
สวัสดีครับน้อง