เมื่อวันที่ ๕-๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา ผมและคณะกรรมการคุรุสภาได้มีโอกาส บินลัดฟ้าไปศึกษาดูงานไกลถึง “สแกนดิเนเวีย” ดินแดนที่น่าพิศวงของยุโรปที่หลายท่านอาจคุ้นชื่อแต่ไม่คุ้นเคย มาทำความรู้จักดินแดนนี้ด้วยกันนะครับ“สแกนดิเนเวีย” ชื่อที่เรียกขานดินแดนสี่ประเทศของยุโรปเหนือ เป็นดินแดนประวัติศาสตร์และที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ร่วมกัน โดยมีแหลมสแกนดิเนเวียเป็นแกนกลาง ดินแดนนี้คือที่ตั้งของประเทศเดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน ซึ่งมีพื้นที่รวมกัน 1,155,000 ตารางกิโลเมตร โดยมีพื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดตั้งอยู่แถบขั้วโลกเหนือผู้ที่ผ่านมาท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียจะประจักษ์ได้ว่าภายใต้ความหลากหลายของภูมิประเทศที่น่าประทับใจของดินแดนแห่งนี้ มีความคล้ายคลึงกันทั้งด้านทิวทัศน์และภูมิอากาศอีกทั้งยังมีประวิติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เหมือนกัน และสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีความคล้ายคลึงกันของวัฒนธรรมนี้ได้ช่วยหล่อหลอมให้ผู้คนในดินแดนแห่งนี้ดำเนินชีวิตในรูปแบบที่เหมือนกัน นั่นคือชีวิตตามแบบฉบับสแกนดิเนเวียมีชีวิตที่โชกโชนกับการต่อสู้ดิ้นรนกับอดีตที่ผ่านมา ซึ่งชาวสแกนดิเนเวียไม่ว่าจะเป็นชาวเดนมาร์กผู้รักเงียบขรึมและเก็บตัว ต่างก็มีความรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นชาวสแกนดิเนเวียเท่าเทียมกันชาวสแกนดิเนเวียเป็นผู้ที่ชื่นชอบและรักความงามของธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเขาจะเก็บความรู้สึกเช่นนี้สะท้อนออกมาในความสมบูรณ์แบบของศิลปะและลวดลายของสแกนดิเนเวีย พวกเขาไม่เคยเบื่อในการแสวงหาความสงบร่มรื่นของธรรมชาติและชอบใช้ชีวิตอยู่อย่างชาวบ้านธรรมดาในกระท่อมฤดูร้อน หรือ ตามเนินทรายธรรมชาติที่ปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม หรือฝั่งไกลโพ้นของทะเลสาบในประเทศฟินแลนด์สแกนดิเนเวีย มีประชากรอาศัยอยู่เบาบางมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป คือมีอัตราประชากรโดยเฉลี่ย 15 คนต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศมีเทือกเขาที่ทอดยาวตลอดระหว่างประเทศนอร์เวย์และสวีเดน เปรียบดั่งเช่นกระดูกสันหลังของแหลมสแกนดิเนเวีย อีกทั้งยังมีที่ราบสูงและยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,500 เมตรในประเทศสวีเดน ทางทิศตะวันตกของเมืองคิรุน่าจะมียอดเขาสูงที่มีธารน้ำแข็งปกคลุมอยู่ตลอดปี ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของฟยอร์ดต่าง ๆ ส่วนตามแนวฝั่งทะเลของประเทศนอร์เวย์ เดนมาร์ก และฟินแลนด์จะมีภูมิประเทศที่ราบเรียบกว่า โดยเดนมาร์กมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นส่วนใหญ่และฟินแลนด์ได้ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดน 100,000 ทะเลสาบและป่าสนสแกนดิเนเวีย เป็นดินแดนที่น่าท่องเที่ยวทั้ง 4 ฤดู ในฤดูใบไม้ผลิท่านจะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่ปลอดโปร่ง อากาศบริสุทธิ์ที่ปราศจากมลพิษและเต็มไปด้วยดอกไม้พฤกษานานาพรรณ อีกทั้งผลไม้นานาชนิดของแถบขั้วโลกเหนือที่น่าตื่นตาตื่นใจ ส่วนในฤดูร้อนเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์จะฉายแสงอยู่เกือบตลอดทั้งวัน ซึ่งในแถบขั้วโลกเหนือและเขตอาร์กติคในระหว่างเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม จะเป็นเทศกาลพระอาทิตย์เที่ยงคืน ซึ่งดวงอาทิตย์จะไม่ตกลับตาไปเลย ฤดูนี้เป็นเวลาแห่งเทศกาลต่าง ๆ ทั้งศิลปะ การศึกษา การกีฬา ดนตรีลากรรื่นเริงต่าง ๆ ในฤดูใบไม้ร่วง สีสันตระการตาของใบไม้ต่าง ๆ จะเป็นที่รื่นรมย์ และแปลกตาแก่ผู้มาเยือนอย่างยิ่ง และเมื่อยามฤดูหนาวจะเป็นฤดูแห่งการกีฬาในฤดูหนาวโดยเฉพาะ เช่น สุนัขลากเลื่อน สโนว์โมบิล สกี สโนว์กอล์ฟ และที่ไม่ควรพลาดก็คือการไปเยี่ยมเยือนซานตาคลอสที่หมู่บ้านซานต้าที่ “เกมิ” เมืองท่าของแลปแลนด์ในประเทศฟินแลนด์ จะมีหิมะปกคลุมไปทั่ว ทั้งบนแผ่นดินและในทะเลบอลติค ที่นั่นจะเป็นเหมือนสนามกีฬาฤดูหนาวอันยิ่งใหญ่ นักท่องเที่ยวจะได้มีโอกาสเที่ยวชมและพักอาศัยในโรงแรมน้ำแข็งซึ่งจะถูกสร้างขึ้น ทั้งในประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายนของทุกปี หรือท่านจะลองนั่งเรือตัดน้ำแข็ง ระเบิดน้ำแข็งให้เป็นช่องสำหรับเป็นทางเดินเรือในทะเลบอลติค หรือ ชมปรากฏการณ์ของแสงเหนือหรือพายุแม่เหล็กขั้วโลกซึ่งน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี้ไม่มีสถานที่ใดให้ท่านได้นอกจากสแกนดิเนเวียสแกนดิเนเวีย เป็นเมืองประวัติศาสตร์อันยาวนาน ยุคไวกิ้ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นนักเดินเรือที่เก่งกาจ และเป็นผู้ค้นพบแคนาดาทวีปอเมริกาเหนือก่อนโคลัมบัสเสียอีก ไวกิ้งได้เดินเรือไปทางทิศตะวันตกซึ่งสมัยโบราณเชื่อว่าโลกแบนและอาจตกโลกไปได้แต่การเดินเรือในครั้งนั้น ทำให้ไวกิ้งได้ค้นพบเกาะไอซ์แลนด์และกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีธารน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี และมีภูเขาน้ำแข็งใหญ่น้อยมากมายในประเทศนอร์เวย์ ที่แหลมนอร์ทเคป และที่เมืองรากุนดาในประเทศสวีเดน ยังมีพลับพลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพ่อร.5 เคยเสด็จประพาสมาแล้วตั้งอยู่ โดยพลับพลานี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าพระองค์เคยเสด็จมายังสถานที่แห่งนี้มาแล้วสแกนดิเนเวีย เคยเป็นดินแดนแห่งเทพนิยายในอดีต นักเขียนที่โด่งดังชาวเดนมาร์กที่มีชื่อว่า ฮานส์ คริสต์เตียน แอนดอร์สัน ได้เขียนเทพนิยายสำหรับเด็ก ๆ ซึ่งเป็นที่เลื่องลื่อจนกระทั่งจุดประกายให้วอล์ท ดีสนีย์มีความคิดที่จะสร้างดีสนีย์แลนด์ที่สหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา นอกจากเทพนิยายแล้วประเทศเดนมาร์กยังมีเลโก้แลนด์ที่เมืองบิลลุนด์ที่ที่ท่านจะได้ชมตุ๊กตาโบราณและของเล่นเด็ก ๆ สร้างขึ้นด้วยตัวต่อเลโก้และสวนสนุกต่าง ๆ สแกนดิเนเวีย ยังเป็นดินแดนแห่งยุคไฮเทคต่าง ๆ ในด้านโทรคมนาคม มีอู่ต่อเรือเดินสมุทรที่โอ่อ่ามโหฬาร อีกทั้งด้านแฟชั่นและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ มากมาย สินค้าประเภทเครื่องใช้ในครัวเรือนและเฟอร์นิเจอร์สไตล์สแกนดิเนเวียยังเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าทันสมัยและให้ความสะดวกสบายในการใช้ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง รวมถึงของน่ารักอย่างตุ๊กตากระเบื้องเคลือบของเดนมาร์ก เครื่องประดับสุภาพสตรีและบุรุษที่บางเฉียบสไตล์เรียบแต่หรู คริสตัลของสวีเดน และอื่น ๆ อีกมากมายที่นักท่องเที่ยวจากแดนไกลอดไม่ได้ที่จะต้องช้อปปิ้งกันกลับไปฝากคนทางบ้าน หากเราบรรยายต่อไปก็คงไม่หมดจึงขอชวนให้ทุกท่านได้เดินทางไปสัมผัส สแกนดิเนเวีย ด้วยตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่าดินแดนแห่งนี้น่าพิศวงขนาดไหน มาทำความรู้จักประเทศทั้ง 4 บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวียกันครับ ไม่แน่ว่าในการเดินทางครั้งหน้า ประเทศใดประเทศหนึ่งของดินแดนนี้อาจเป็นจุดหมายในการเดินทางของคุณก็เป็นได้นะครับ เดนมาร์กถ้าจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวบนคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย โคโปเฮเกนเป็นชื่อต้นๆ ที่เรานึกถึง และอยากจะไปเป็นที่สุด นครแห่งนี้ดำรงตำแหน่งเมืองหลวงของประเทศเดนมาร์กมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้วปราสาทที่สำคัญมากมายถูกรังสรรค์ขึ้นบนดินแดนผืนนี้จนเกิดเป็นอาณาจักรที่เรืองรองไปด้วยประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมห้าร้อยกว่าปีก่อน ผืนดินส่วนใหญ่ยังคงเป็นเพียงทุ่งกว้าง ครั้นมาในรัชสมัยของพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 (King Christian IV) กษัตริย์แห่งเดนมาร์กได้ทรงมอบหมายให้สองสถาปนิกชาวเดนมาร์ก Bertel Lange กับ Hans VanSteenwinkel ออกแบบพระตำหนักฤดูร้อนส่วนพระองค์ขึ้น โรเซนบอร์ก (Rosenborg) ปราสาทสไตล์ดัตช์เรอเนสซองส์สองชั้นจึงถือกำเนิดขึ้นนับตั้งแต่งบัดนั้นทันทีที่ผมก้าวเข้าสู่โรเซนบอร์กจิตวิญญาณของเราดำดิ่งไปสู่ห้วงอดีตกาลในยุครุ่งโรจน์แห่งเรอเนสซองส์ หลงใหลไปกับมนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมที่สวยงามทั้งในด้านการออกแบบ โครงสร้าง รูปทรง และการประดับตกแต่งภายในที่หรูหรา สง่างามและประณีตตามแบบโบราณประเพณี พวกเรารู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับพิพิธภัณฑ์เครื่องเพชรมหามงกุฎ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเลอค่าของราชวงศ์เดนมาร์กสมัยต่างๆ ที่ถูกจัดแสดงไว้อย่างเป็นระเบียบตามห้องหับทั่วปราสาทหลังจากดื่มด่ำไปกับความงามแบบดัตช์เรอเนสซองส์แล้ว เรามุ่งหน้าไปยังอะมาเลียนบอร์ก (Amalienborg) พระราชวังของพระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 3 (Frederik III) ซึ่งใช้ระยะเวลาในการสร้างกว่า 6 ปี ถึงอย่างนั้นอายุของอะมาเลียนบอร์กก็มิได้ยืนยาวดังที่ใครต่อใครวาดหวังไว้ เพราะอีก 16 ปีต่อมาเปลวเพลิงได้ลุกไหม้เผาผลาญพระราชวังอะมาเลียนบอร์กเสียจนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิม อย่างไรก็ตาม อะมาเลียนบอร์กกลับมาผงาดอีกครั้งในรัชสมัยของเฟรดเดอริคที่ 5 (Frederik V) เมื่อนิโคไล (Nicolai Eigtved) ได้สร้างสรรค์อะมาเลียนบอร์กให้ดูกล้าแข็งแต่แฝงด้วยความอ่อนช้อยด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยมสไตล์ร็อคโคโค ตรงกลางเป็นสนามหญ้ากว้างมีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าเฟรด เดอริกที่ 4 (Frederik IV) ตั้งอยู่ ทั้งๆ ที่อะมาเลียนบอร์กตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรเซนบอร์ก แต่ผมกลับให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิงราวกับว่าเราเดินอยู่ในปราสาทที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอแห่งความโรมานส์สไตล์ฝรั่งเศสมากกว่าอยู่ในเดนมาร์ก เราเดินชมเครื่องราชแห่งราชวงศ์ Glucksborg ที่จัดแสดงไว้บริเวณปีกด้านหนึ่งของพระราชวังจึงกลับออกมาด้านนอก พลางคิดเสียดายที่เขาไม่เปิดให้ชมทั่วพระราชวังเล่ากันว่าเดนมาร์กเป็นหนึ่งในชาติที่มีจำนวนสวนสาธารณะมากที่สุด บางทีอาจเป็นเพราะวิถีการดำเนินชีวิตของชาวเดนมาร์กที่มีลักษณะเรียบง่ายและผูกพันกับธรรมชาติ รัฐจึงได้สร้างสถานที่อันร่มรื่นให้คนเมืองได้หลบหนีจากอาคารทันสมัยที่ผุดอยู่ทั่วเมืองกลับมามีชีวิตที่สัมพันธ์กับธรรมชาติอีกครั้ง เห็นจะจริงในกรุงโคเปนเฮเกนยังมีสวนสาธารณะใหญ่ๆ ถึงห้าแห่ง อาทิเช่น โรเซนบอร์กการ์เด้น (Rosenborg Garden) สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่แน่นขนัดไปด้วยแมกไม้น้อยใหญ่และมวลดอกไม้นานา พรรณที่แข่งกันผลิดอกจนบานสะพรั่งทั่วสวน คลอด้วยเสียงเพลงของนกน้อย ตามมุมต่างๆ ปรากฏงานประติมากรรมลอยตัวมากมาย ที่งดงามที่สุดเห็นจะเป็นราชินี ชาร์ล็อต อะมาเลียน (Charlotte Amalie) เราผลัดกันเก็บภาพประทับใจรอบสวนจนหนำใจจึงสังเกตเห็นกลุ่มคนถือตะกร้าปิกนิกค่อยๆ ทยอยเดินลึกเข้าไปในสวน เรามองซ้ายมองขวาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นของฉันก็ชนะเสียงโครกครากในท้องเขา เราเดินตามแม่ลูกคู่หนึ่งมาจนถึงลานที่เคยโล่งกว้าง แต่ตอนนี้มีกลุ่มคนนั่งเป็นหย่อมๆ ทุกคนต่างจ้องไปที่หุ่นตัวจิ๋วที่กำลังเต้นระบำอยู่กลางแจ้งที่จัดแสดงเฉพาะในฤดูร้อนอยู่เกือบสองชั่วโมงจึงเลี่ยงออกมาหาของอร่อยใส่ท้องหลังจากดื่มโกโก้ร้อนๆ หมด เราก็กางแผนที่แล้วช่วยกันเลือกเป้าหมายต่อไป แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางที่เรากำลังจะไปนี้ออกจะพิเศษและแตกต่างจากที่ก่อนๆ เรากำลังจะไปทิโวลี (Tivoli) สวนสนุกแห่งแรกของโลกกันค่ะ จอร์จ คาร์ลสแตนเซ่น (George Carstensen) สร้างสวนแห่งนี้ขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ภายในทิโวลี เราได้พบกับสวนอันร่มรื่น สระน้ำ เครื่องเล่น และโรงละครจำนวนมากซึ่งคณะต่างๆ ทั้งคณะละคร คณะบัลเล่ต์ คณะโอเปร่า ที่มีชื่อเสียงนิยมผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาแสดงในทิโวลี สวนสนุกที่นี่ออกจะแตกต่างจากของบ้านเราอยู่สักหน่อยเพราะที่นี้เปิดปีละ 2 ครั้ง เท่านั้น คือ ช่วงหน้าร้อนระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน และเปิดอีกครั้งในช่วงสองสัปดาห์ก่อนคริสต์มาสซึ่งช่วงนี้นักท่องเที่ยวกว่าแสนคนนิยมมาเฉลิมฉลองแสงแรกแห่งปีร่วมกัน ฟังแล้วน่าสนุกจังเลยผมเล่าให้คุณฟังหรือยังครับ ว่าโคเปนเฮเกนมีแม่น้ำไหลผ่านรอบเมือง แล้วเช้านี้ท้องฟ้าก็แจ่มใสมาก ส่วนอากาศก็ปลอดโปร่ง เราจึงพากันล่องเรือ (Canal Tour) ตามลำน้ำโคเปนเฮเกนค่ะ เรารีบไปลงเรือตั้งแต่ตอนสายๆ เพื่อเที่ยวชมภาพทิวทัศน์ที่งดงามบางมุมของกรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งจะเห็นได้เฉพาะจากการล่องเรือเท่านั้นครับ ตลอดเส้นทางมีสายลมพัดมาเอื่อยๆ ทำให้รู้สึกเย็นสบายในวันดีๆ แบบนี้เขาน่ารักมากค่ะ เพราะทำหน้าที่ไกด์จำเป็นชี้ให้ฉันดูมุมนู้นมุมนี้ ส่วนฉันก็ทำตัวเป็นลูกทัวร์ที่ดี มองตามที่เขาชี้สลับกับลอบมองหน้าเขา ไม่รู้ว่าเราคิดเหมือนกันหรือเปล่า สำหรับฉันแล้ว อยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ตลอดไป เงือกน้อยก้มลงจุมพิตเบาๆ ที่พระพักตร์ของเจ้าชายก่อนที่จะโยนมีดทิ้งลงทะเลพลันร่างน้อยก็ค่อยๆ สลายกลายเป็นฟองคลื่นเหลือเพียงเสียงครวญอันแผ่วเบาจากท้องทะเลลำน้ำนี้ถูกขับขึ้นขณะที่เรือลำน้อยแห่งโคเปนเฮเกนกำลังล่องไป เรือลำนี้พาเราหวนระลึกถึงตำนานความรักของเงือกน้อย (Little Mermaid) ที่ยอมเสียทุกสิ่งเพื่อเจ้าชายที่แสนรัก จากเรือเราพบเงือกน้อยผิวบรอนซ์ยังคงนั่งรอเจ้าชายอยู่บนโขดหินริมฝั่งน้ำอย่างไม่เคยสิ้นหวัง รูปปั้นชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของ Edv. Eiriksen ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงจินตนาการของแอนเดอร์สันกวีเอกผู้สร้างสรรค์นิทาน ที่ได้รับการกล่าวขานทั่วโลก เรื่องราวของเงือกน้อยยังคงก้องอยู่ในหัวจนเรือเทียบท่าพอขึ้นจากเรือ ผมก็ชวนเขาไปหาซื้อของที่ระลึกสำหรับวันคืนดีๆ ที่มีค่าระหว่างเรา ณ สตรอยเยท (Stroget) ถนนแห่งการ ช้อปปิ้งที่ยาวที่สุดในโลก เราเริ่มต้นช้อปตั้งแต่รอฮุตซ์แพลด เช่น (Radhuspladsen) และเดินเรื่อยยาวไปจนถึงวงเวียนคองเก้น นูทอร์ฟ (Kongens Nytorv) สองข้างทางบนถนนสายนี้มีร้านค้า ภัตตาคาร และห้างสรรพสินค้ามากมาย สินค้าที่ขายก็มีหลายหลากประเภท ตั้งแต่ขนมขบเคี้ยวไปจนถึงเสื้อผ้าและงานฝีมือ ความหลากหลายของสินค้านี้เองที่น่าจะทำให้ถนนสายนี้ไม่เคยว่างเว้นจากการมาเยี่ยมเยือนของนักท่องเที่ยวทั่วโลกแม้กรุงโคเปนเฮเกนจะไม่ใหญ่มากนัก แต่เราก็รู้สึกว่านครแห่งนี้บริบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติและการรังสรรค์เทคโนโลยีที่ทันสมัย ขณะเดียวกันก็ยังคงครุกรุ่นไปด้วยเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของชนชาติเดนมาร์กโคเปนเฮเกนจึงเป็นนครที่ทรงคุณค่าในความทรงจำของพวกเรา ตลอดไปโอกาสหน้าจะแนะนำอีก 3 ประเทศที่เหลือได้แก่ ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดินให้รู้จักนะครับ แล้วพบกันใหม่สวัสดีครับ