วันที่ 21-22 มิถุนายน ได้มีโอกาสไปร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง หน่วยงาน และองค์กรภาคี จึงถือโอกาสเรียนรู้ในหลายๆเรื่อง ตั้งแต่เนื้อหาสาระ จนถึงวิธีจัดการประชุม น่าปลื้มใจที่คนมาร่วมประชุมมากและแทบทุกคนกระตือรือร้นที่จะแสดงความคิดเห็น
ช่วงเช้าได้มีโอกาสรับฟังการเสนอความคิดเห็นและผลงานวิจัยของหน่วยงานภายนอกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ กทบ. ดูเหมือนแต่ละคนมีมุมมองอยู่ภายใต้หมวกของตนเองจริงๆ อย่างเช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน มองคล้ายๆกับธนาคาร คือ มองกองทุนเป็นตัวตั้ง นักเศรษฐศาสตร์มองการเข้าถึงกองทุน การขยับขยายอาชีพ พัฒนาชุมชนมองในฐานะคนที่ต้องรับผิดชอบงานพัฒนาในภาพรวม ไม่ได้ยินใครวิเคราะห์ว่า ผลที่เกิดขึ้นต่อชาวบ้านจริงๆคืออะไร (ทั้งผลลัพธ์และผลกระทบ)
น่าเสียดายที่ช่วงหนึ่งของการประชุมต้องออกไปธุระที่อื่น จึงไม่ได้ฟังความเห็นของตัวแทนชุมชน กลับมาอีกทีก็เป็นการประชุมกลุ่มย่อย ซึ่งตัวเองรับผิดชอบดูแลกลุ่มย่อยว่าด้วยอนุกรรมการกองทุนฯ และ สทบ. เพราะวิทยากรตัวจริงมาร่วมงานไม่ได้ การเป็นวิทยากรไม่ยากนักเพราะผู้ร่วมกลุ่มทุกคนมีประสบการณ์มาก และกระตือรือร้นในการแสดงความคิดเห็น เสียดายเพียงว่า ถ้ามีโอกาสได้ทำการบ้านมาก่อน น่าจะตั้งประเด็นพูดคุยได้ดีกว่านี้ ครั้งนี้เราจึงเพียงแต่ตั้งประเด็นให้คุยกันในเรื่อง บทบาทหน้าที่ โครงสร้าง และการปฏิบัติงาน ผลการพูดคุยก็ได้ประเด็นปัญหา และแนวทางแก้ไข
น่าสนใจว่า พอเริ่มพูดถึงบทบาทหน้าที่ ทุกคนไม่ค่อยแม่นว่า บทบาทหน้าที่ของตนคืออะไร (สะท้อนให้เห็นปัญหาอะไรบางอย่างรึเปล่า?) จึงถามหาเอกสารประกอบ แต่ไม่มี เราเองก็ไม่มีข้อมูล จึงข้ามไปคุยกันในเรื่องโครงสร้าง และการทำงาน แต่คุยไปคุยมาก็พอทบทวนกันได้ว่า อนุกรรรมการฯ มีบทบาทหน้าที่ในงานส่งเสริมและติดตามผล
ในการพูดคุย ไม่ค่อยมีความเห็นต่างมากนัก ที่น่าประทับใจ คือ มีตัวแทนคนหนึ่งกล่าวติงว่า การทำงานไม่ได้ต้องการให้หน่วยงานมีอำนาจหน้าที่มากขึ้น แต่ต้องการทำให้ชาวบ้านเข้มแข็งขึ้น แต่การพูดคุยก็ไม่ได้ไปสู่ประเด็นว่า จะทำให้สมาชิกและเครือข่ายเข้มแข็งขึ้นได้อย่างไร คุยกันแต่ว่า จะให้อนุกรรมการทำงานได้ดีขึ้นอย่างไร (ตามโจทย์ที่ถูกตั้งมา) นอกจากนี้ยังคุยกันเรื่อง การจดทะเบียนนิติบุคคล ควรขยายเวลา แต่ถ้าไม่ขยายเวลา ควรมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานอย่างไร ...
ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง วิธีจัดลำดับความสำคัญของข้อเสนอ วิธีการก็คือ มีการรวบรวมความคิดเห็นที่เป็นข้อเสนอขึ้นบนบอร์ดใหญ่ (ทำได้เท่ห์มาก) แล้วให้ผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละคนติดสติ๊กเกอร์ข้อเสนอที่ตนเห็นว่าสำคัญที่สุด วิธีนี้ทำให้ที่ประชุมได้ลำดับความสำคัญของข้อเสนอ
แม้วิธีการจะน่าสนใจ แต่เราก็คิดว่า ลำดับความสำคัญที่ได้ คงจะยังไม่ใช่ข้อสรุป แต่เป็นข้อมูลที่สำคัญชุดหนึ่งที่จะต้องไปทำงานต่อ ไม่ว่าจะโดยการไปถกเถียงหาเหตุผลกันต่อ หรือแม้แต่ทำการศึกษาวิจัยเพื่อหาข้อมูลเชิงลึก อย่างประเด็นเรื่องระยะเวลาการจดทะเบียนนิติบุคคลที่กำลังจะสิ้นสุดลง จะทำอย่างไร เราคิดว่ายังมีความเห็นต่างกันอยู่ระหว่างกลุ่มต่างๆ โจทย์สำคัญเช่นนี้ ต้องใช้วิธีถกเถียง/ปรึกษาด้วยเหตุด้วยผลมากกว่า
ตอนคุยนอกรอบกับครูมุกดา ท่านก็พูดถึงประเด็นเรื่องการโหวต ท่านไม่สบายใจที่บางเรื่องได้ผลโหวตสูง ทั้งที่เป็นเรื่องที่ท่านคิดว่าจะเกิดปัญหาหากทำเช่นนั้นจริง
ที่จริงมีข้อเสนอบางข้อที่อาจขัดแย้งกันเอง เช่น ข้อเสนอเรื่องการบูรณาการกองทุนต่างๆ กับข้อเสนอที่ให้หาหน่วยงานที่จะเป็นเจ้าภาพการทำงานกองทุนหมู่บ้านในพื้นที่ให้ชัดเจน เพราะการมีเจ้าภาพย่อมเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ การบูรณาการกองทุนต่างๆน่าจะเกิดได้ต่อเมื่อเจ้าภาพการทำงานทุกกองทุน คือ ชุมชนเอง
น่าเสียดายที่ที่ประชุมไม่ได้เลือกประเด็นเด่นๆมาคุยกันในที่ประชุมใหญ่ (อาจต้องจัดกันอีกรอบ) แต่ก็น่าดีใจที่ท่านรัฐมนตรี คือ อาจารย์ไพบูลย์ เลือกที่จะใช้เวทีกล่าวปิดประชุมเป็นเวทีรับฟังความเห็นของผู้เข้าร่วม เป็นวิธีทำงานที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
โดยภาพรวม งานก็ดูจะประสบความสำเร็จด้วยดีในแง่จำนวนผู้เข้าร่วมและการมีส่วนร่วมของแต่ละคน ซึ่งดูเหมือนเป็นความตั้งใจของผู้จัด
ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เราคิดว่า งานนี้ผู้จัดคงได้โจทย์ที่ต้องไปคิดต่อ หาข้อมูลต่อ ทำงานต่อ เยอะเลย ...เพื่อการขับเคลื่อนขบวน กทบ. ในฐานะที่เป็นหัวรถจักรที่จะฉุดขบวนชุมชนเข้มแข็งอีกทีหนึ่ง
งานนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับงาน platform องค์กรการเงินและสวัสดิการชุมชน ทีมวิจัยคงจะเอาประเด็นปัญหาและข้อเสนอที่ได้จากที่ประชุมไปกลั่นกรองอย่างรอบคอบอีกครั้ง มีโจทย์วิจัยหลายโจทย์เพื่อการวิเคราะห์และขับเคลื่อนงานอยู่ในนั้น
เรียน อาจารย์ ปัทมาวดี ที่เคารพ
ขอบคุณครับ