ผู้จัดการประชุม (Conference on KM as an Enabler of Change and Innovation in Africa : A Conference for Policymakers and Practitioners) บอกว่าคนที่จะไปอเล็กซานเดรีย ขอนัดพบกันที่ล็อบบี้เวลา ๗.๓๐ น. ของวันที่ ๑๓ มิ.ย. เพราะว่านัดไปถึงห้องสมุดอเล็กซานเดรีย เวลา ๑๑ น.
เอาเข้าจริงล้อหมุนเวลา ๘.๑๕ น. (เป็นที่รู้กันว่าคนอัฟริกันไม่ตรงต่อเวลา) ใช้รถบัส ๒ คัน เกือบทุกคนจากต่างประเทศ ที่มาร่วมประชุม ไปอเล็กซานเดรีย และพวกภรรยาก็โผล่ตัวออกมาแบบหมออมรา เราอยากรู้ว่าเขาจัดให้เราไปทำอะไรอีกบ้าง นอกเหนือจากการเยี่ยมชมหอสมุด อเล็กซานเดรีย ซึ่งในที่สุดเราก็รู้ว่าเป็นการไปชมหอสมุดและกินอาหารทะเลเท่านั้น
ไม่ถึง ๑๐ นาทีเราก็ออกถนนไฮเวย์นอกเมือง ๒ ข้างถนนเป็นสวนผักและไร่ข้าวโพด ผ่านสวนมะม่วง สวนปาล์ม (อินทผาลัม) ที่ออกทะลายสะพรั่ง บางต้นมีถึง ๗ - ๘ ทะลาย อีก ๒ เดือนผลอินทผาลัมก็จะสุก ระหว่างทางน่าจะมีสวนฝรั่งด้วย เพราะที่โรงแรมตอนอาหารเช้า มีน้ำผลไม้หลากชนิดบริการ ผมติดใจ "น้ำฝรั่งชนิดน้ำข้น" คือเขาใช้ผลฝรั่งสุก บดเนื้อเป็นน้ำไปเลย
เพราะรถบัสสูง เราจึงได้เห็นวิวจากมุมสูง ได้เห็นบ้านที่มีกำแพงรอบ (ทำด้วยอิฐดินตากแดด) มีกระท่อมอยู่รอบ และลานเลี้ยงสัตว์อยู่ตรงกลาง เสียดายถ่ายรูปไม่ทัน
๒๕ นาทีให้หลัง รถก็เข้าสู่ถนน ๘ เลน ต่อระหว่างไคโรกับอเล็กซานเดรีย ที่เป็นทุ่งป้ายโฆษณา และเรานั่งรถผ่านเมื่อวันที่ ๘ มิ.ย. นั่นเอง ถัดออกไปเป็นทะเลทรายสุดสายตา
ผมมีข้อสังเกตว่า อียิปต์มีวัฒนธรรม "ไร้หลังคา" หรือ "หลังคารก" โปรดดูรูป แล้วจะเห็นจริง ผมอธิบายว่าหลังคาของอียิปต์กับของไทยไม่เหมือนกัน หลังคาของสังคมทะเลทราย ฝนตกเพียงปีละไม่กี่วัน รวมปีละเพียง ๗ ซ.ม. ไม่ได้สร้างหลังคาไว้กันฝน แด่เป็น "ดาดฟ้า" เอาไว้นอนดูดาว หรือเอาไว้ตากของ วางของ เราจึงรู้สึกว่าหลังคาบ้านอียิปต์รกรุงรัง
อีกอย่างหนึ่งคือ "วัฒนธรรมสู้แดด" ในขณะที่ของเราเป็น "วัฒนธรรมหลบแดด" ผมสังเกตตั้งแต่คุณอัสมาล ไกด์ของเราชวนเราไปนั่งฟังแกอธิบายกลางแดดเปรี้ยงแล้ว ว่าคนอียิปต์ไม่กลัวแดด คงเป็นเพราะเขาอยู่กลางทะเลทราย ไม่มีที่ร่ม จึงชินกับแดด ซึ่งจ้าพอๆ กับบ้านเรา
ผมมาเข้าใจอากาศทะเลทรายก็คราวนี้ เมื่อผมออกไปวิ่งบนฟุตบาธริมถนนเลียบแม่น้ำไนล์ เมื่อเช้าวันที่ ๑๑ มิ.ย. อุณหภูมิขนาดหน้าหนาวบ้านเรา คงจะต่ำกว่า ๒๐ องศาเซลเซียส แต่พอเราออกไปเดินเล่นเย็นวันที่ ๑๒ อุณหภูมิคงจะราวๆ ๓๖ องศา คืออุณหภูมิกลางคืนกับกลางวันต่างกันมาก
หมออมราเตรียมครีมกันแดดอย่างดี เอามาทั้งชนิดทาหน้าและทาตัว ผมซึ่งอยู่เมืองไทยไม่เคยสนใจทาครีมกันแดดเวลาไปเที่ยวและโดนแดดจ้า พอกลับมาบ้านก็รู้สึกร้อนวูบวาบตามหน้าและตัว มาคราวนี้ผมใช้ครีมกันแดดเต็มที่จึงได้เห็นคุณค่าว่ามันช่วยป้องกันแดดเผาได้จริง ผมไม่รู้สึกไม่สบายจากการโดนแดดเลยในการเดินทางคราวนี้
ผมเขียน (พิมพ์) บันทึกนี้บนรถบัส ระหว่างเดินทาง โดยใช้ PDA วิวจากบนรถบัสสวยกว่ามองจากรถตู้ เราได้เห็นไร่องุ่น สวนโอลีฟ สวนกล้วย มะม่วง ส้ม และผลไม้อื่นๆ กลางทะเลทรายอย่างชัดเจน ได้เห็นฝูงอูฐประมาณ ๔๐ - ๕๐ ตัวกำลังกินหญ้า แต่ถ่ายรูปไม่ทัน เรารู้สึกว่านั่งรถบัสสบายกว่ารถตู้ด้วย
ถึง Bibliotheca Alexandrina หรือห้องสมุด อเล็กซานเดรีย กว่า ๑๑ โมง และต้องไปรออีกนานเป็นครึ่งชั่วโมงจึงเริ่มทัวร์ เห็นได้ชัดเจนว่าการจัดการของฝ่ายจัดการเดินทางไม่ดี เราเองก็ไม่ได้รับข้อมูลใดๆ เลยว่ามาทำอะไรบ้าง ลักษณะของการดูงานนี้จะเป็นอย่างไร ระหว่างนั่งรถเกือบ ๓ ชม. ก็ไม่มีการแจ้งข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น
หอสมุดนี้เป็นทั้งหอสมุดให้คนเข้ามาใช้ทั้งมาใช้โดยตรงและใช้ทางอินเทอร์เน็ต เป็นพิพิธภัณฑ์ และเป็นสถานท่องเที่ยว งบประมาณ ๒๒๐ ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นของรัฐบาลอียิปต์ ๑๒๐ ล้าน และได้รับบริจาคจากประเทศต่างๆ อีก ๑๐๐ ล้าน ผมรู้สึกคล้ายๆ มาดูสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ ได้แก่ภาพเลเซอร์ ๓ มิติที่ควบคุมการซูม พลิก หมุน และตัดขวางได้อย่างมหัศจรรย์ ห้องหนังสือโบราณ จำนวนมากมาย บางเล่มอายุกว่าพันปี ที่มหัศจรรย์ คือการที่เขา digitize หนังสือเหล่านี้ทั้งเล่ม สามารถเปิดอ่านจากจอคอมพิวเตอร์โดยใช้นิ้วสัมผัส และสามารถซูมได้ เขากำลังร่วมมือกับจีน ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ ในการ digitize หนังสือให้ได้ ๑ ล้านเล่ม เวลานี้เขาทำไปได้ไม่น้อยแล้ว และเทคโนโลยีสะดวกต่อผู้ใช้มาก มี เครื่องพิมพ์และเย็บเล่มหนังสือ ได้ภายใน ๒ - ๒๐ นาที ซึ่งเวลานี้มีเพียง ๒ เครื่องในโลก ห้องมัมมี่ ห้องภาพ อเล็กซานเดรีย สมัยเก่า มาจนปัจจุบัน
จากห้องภาพ ทำให้ผมได้เรียนรู้ ว่าเมืองเก่าขนาดกว่า ๒ พันปีอย่างนี้ ชีวิตย่อมมีขึ้นลง มียามรุ่งเรือง และยามตกต่ำ ได้เห็นรูปอ่าวและกำแพงเมืองสมัยโบราณ ทำให้เข้าใจสภาพของเมือง การเดินเรือค้าขาย และการป้องกันการรุกราน ต่อมามีภาพแสดงยามตกต่ำ ตอนนโปเลียนมาก็พบความทรุดโทรมของเมือง
เกือบบ่ายสองโมงเราจึงไปกินอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารอาหารทะเลริมอ่าว เห็นวิวของอ่าว อเล็กซานเดรีย สวยงาม แดดจ้า อาหารปลากระบอกและข้าวแบบอียิปต์ มีผักสลัดและน้ำจิ้มแบบอียิปต์ รวมทั้งขนมปังปิ้งพีต้าตามเคย มาเห็นชัดวันนี้ว่าปลาที่กินวันนี้และเมื่อวันที่ ๗ มิ.ย. เป็นปลากระบอก หมออมราสงสัยว่าปลากระบอกทำไมว่ายน้ำมาถึงนี่ ผมบอกว่าปลากระบอกเหล่านี้พูดไทยไม่เป็น คือเขาเกิดและโดนจับอยู่ในทะเลแถวนี้เอง
กินอาหารเสร็จก็เดินทางกลับ นับว่าโชคดีที่เราได้ไปอเล็กซานเดรีย ๒ รอบ ได้ดูสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่ไปก็เสียดายแย่ ไม่ได้เห็น Mega Project ด้านความรู้ ที่เขาว่าไม่ใช่เฉพาะของอียิปต์ แต่เป็นของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกอาหรับ และที่ดีใจมากคือได้ซื้อหนังสือ Voyage Through Time : Walks of Life to the Nobel Prize แต่งในลักษณะอัตชีวประวัติโดย Ahmed Zewail ที่เป็นคนอียิปต์ เรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอเล็กซานเดรีย เรียนเก่งและบ้าทำวิจัยอย่างเลื่องลือ ได้ทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ไปเป็น postdoc ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเล่ย์ แล้วไปทำงานเป็นอาจารย์ที่ Caltech จนได้เป็น Linus Pauling Chair of Chemistry ทำงานวิจัยพัฒนา femtochemistry ศึกษาพฤติกรรมของอะตอมในปฏิกริยาเคมี โดยใช้ laser technique ที่เร็วระดับ femtosecond (หนึ่งในพันล้านล้านวินาที) ทำให้ถ่ายภาพการเคลื่อนที่ของอะตอมได้ จึงได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1999 นับเป็นคนแรกของคนอียิปต์ที่ได้รางวัลโนเบลด้านวิทยาศาสตร์ หนังสือนี้อ่านสนุกมาก เป็นหนังสือที่ช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังได้ดียิ่ง
ลู่วิ่งของผมบนฟุตบาธริมถนนริมแม่น้ำ
คณะผู้ไปเยือน ระหว่างรอที่หน้าหอสมุดอเล็กซานเดรีย
สถาปัตยกรรมอันงดงามและประหยัดพลังงาน ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเลย ในเวลากลางวัน
ห้องอ่านหนังสือ
ชมภาพเสมือนสามมิติ
นิทรรศการแท่นพิมพ์ภาษาอาหรับโบราณ ที่แสดงความก้าวหน้าของการพิมพ์ของโลกอาหรับ
เครื่องพิมพ์และเย็บเล่มหนังสือเล่มปลีก เสร็จภายใน ๒ - ๒๐ นาที หนึ่งในสองเครื่องในโลก
อ่าวอเล็กซานเดรีย ถ่ายจากภัตตาคารอาหารทะเล
ปลากระบอกย่าง
วิจารณ์ พานิช
๑๓ มิ.ย. ๕๐
โรงแรมคอนราด ไคโร อียิปต์