การสื่อสารที่บั่นทอนชีวิต
วิพากษ์วิจารณ์
รูปแบบแรกของการสื่อสารที่บั่นทอนชีวิต คือ การวิพากษ์วิจารณ์ ที่มีนัยถึงความผิดพลาด ความเลวร้าย เช่น "ปัญหาของเธอน่ะก็คือ เธอเห็นแก่ตัว (ขี้เกียจ ไม่รู้สึกรู้สา ทำตัวไม่เหมาะสม ฯลฯ)" นี่อาจเรียกได้ว่า เป็นการดูถูก ตำหนิ เหยียดหยาม การวิเคราะห์ตัดสินผู้อื่น
ปฏิเสธความรับผิดชอบ
รูปแบบที่สองคือ ปฏิเสธการรับผิดชอบต่อความคิด ความรู้สึก และการกระทำของตัวเอง อาจมีคำว่าต้องอยู่ในประโยคที่สื่อสาร เช่น "คุณต้องทำ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม" เราไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของเราเมื่อเราอ้างว่าสาเหตุการกระทำเกิดจาก
คำสั่งตาม NVC คือคำขอร้องที่เหมือนขู่ว่าถ้าผู้รับคำสั่งไม่ทำตาม จะถูกตำหนิ หรือได้รับโทษ ไม่ว่าจะขู่อย่างชัดเจนหรือเป็นนัยก็ตาม
อ้างสิทธิชอบธรรมในการให้รางวัลหรือทำโทษ
รูปแบบนี้เกี่ยวพันกับความคิดว่าบางการกระทำควรได้รับรางวัล บางการกระทำ ควรได้รับโทษ เช่น "เขาน่าจะถูกทำโทษเพราะทำสิ่งนั้นลงไป"
วิธีการตอบสารที่ท้าทาย
เมื่อใครคนหนึ่งพูดสิ่งที่ยากแก่การรับฟังออกมา จะเป็นประโยชน์มากถ้าตระหนักว่า เรามีหลายทางเลือกในการตอบสารนั้น เราจะเลือกวิธีใดขึ้นกับ
1. การไตร่ตรองดูว่าผู้พูดนั้นเปิดรับฟังเราเพียงใด
2. การไตร่ตรองว่า ในขณะนั้นเราสามารถให้ความเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด
ขณะแรกที่เราได้ยินสารที่ท้าทาย ถ้าเราสามารถเห็นใจเขาได้ในขณะนั้น จะส่งผลให้การสื่อสารดำเนินต่อได้ราบรื่นยิ่งขึ้น เราสามารถเลือกวิธีการให้ความเข้าใจได้ไม่ว่าในโอกาสใดก็ตาม แต่มีข้อยกเว้นอยู่กรณีหนึ่งก็คือ คนผู้นั้นไม่เปิดรับแม้แต่ความเข้าใจจากอีกฝ่าย ในเวลาเช่นนั้น เราจะทำความเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของเขาอยู่ในใจ อย่างน้อยเราสามารถทำให้ตัวเองยังเชื่อมสัมพันธ์อยู่กับผู้อื่นได้ แล้วต่อจากนั้นบางทีเราสามารถหาวิธีเชื่อมสัมพันธ์และแสดงความเข้าใจกับอีกฝ่ายได้
ถ้าสารนั้นท้าทายมาก การแสดงความเห็นใจ (ในใจหรือพูดออกมา) อาจไม่ง่าย วิธีการอื่น ๆ อาจจะดีกว่า ต่อไปนี้จะเป็นทางเลือก 8 ทาง ที่ใช้ได้ในเวลาเช่นนั้น ซึ่งรวมถึงการแสดงความเข้าใจด้วย โปรดสังเกตว่า 5 วิธีแรกเรายังคงการสนทนาต่อไป แต่อีก 3 วิธีเป็นหยุดการสนทนาชั่วคราว
1. การให้ความเห็นใจการให้ความเห็นใจไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ด้วยตรรกะเหตุผล สิ่งสำคัญยิ่งกว่าการจำคำพูดทุกคำของอีกฝ่ายก็คือ การพยายามเข้าใจความรู้สึกความต้องการของอีกฝ่าย เราให้ความเข้าใจอีกฝ่ายไม่ใช่เพราะต้องการให้สถานการณ์ราบรื่น แต่นี่เป็นของขวัญล้ำค่าที่ในที่สุดเราจะให้ตัวเองได้ เมื่อเราเปิดใจกับคู่ขัดแย้ง เขาจะกลับคืนมาเป็นมนุษย์ในสายตาเราอีกครั้ง แทนที่จะเป็นเพียงตัวอุปสรรคในการตอบสนองความต้องการของเรา แล้วเราจะทำให้ความต้องการด้านการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นของเราได้รับการตอบสนองไปด้วย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ตาม เป้าหมายของเราคือคาดคะเนความรู้สึกความต้องการของเขา นี่จะทำให้การบ่มเพาะความสัมพันธ์งดงาม ถ้าเราจ้องแต่จะจับเนื้อหาที่เขาพูด อาจทำให้การสื่อสารท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก
2. เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของอีกฝ่ายในใจ
บางทีการพยายามให้ความเข้าใจของเราอาจจะไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่าย นี่เป็นเรื่องท้าทายว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าความเข้าใจจึงจะได้รับการตอบรับ ปกติความพยายามของเรามักส่งผลเสมอ แม้จะไม่มีท่าทีใด ๆ จากอีกฝ่าย ถ้าเรามีความมั่นใจในความพยายามของเรา บางทีอาจก่อให้เกิดผลในการสร้างความสัมพันธ์ได้ในเวลาต่อไป อีกฝ่ายอาจตอบกลับมาด้วยคำพูดเช่น "หยุดมาใช้จิตวิทยากับผมซะที" ในเวลาเช่นนั้นเราอาจหยุดการแสดงความเข้าใจโดยใช้คำพูด และทำการแปลความรู้สึกความต้องการของเขาอยู่ในใจ ในสถานการณ์อื่นการทำเช่นนี้อาจสำคัญเช่นกัน เช่นในกรณีที่เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแสดงความเข้าใจ เพราะเรามีความต้องการอื่น ๆ อยู่ภายใน แม้เราอาจจะสามารถจริงใจที่จะเลือกความสัมพันธ์เป็นอันดับต้น ๆ และยึดการให้ความเข้าใจไว้ ทั้ง ๆ ที่เรามีความต้องการอื่น ๆ ก็ตาม แต่อีกฝ่ายอาจไม่สามารถไว้ใจเราได้ เพราะเขารับรู้ได้ว่าเราต้องใช้ความพยายามและมีความต้องการอื่น ๆ
3. อธิบายตัวเราอย่างเปิดใจ
เรื่องท้าทายของการอธิบายอย่างเปิดใจก็คืออีกฝ่ายอาจไม่อยู่ในภาวะที่จะรับฟังเรา ในกรณีนั้นเขาอาจจะตอบโต้กลับมาอย่างท้าทายมากขึ้นไปอีก หัวใจของการอธิบายก็คือ ทำโดยคิดว่ามันเป็นการทดลองว่าวิธีนี้จะใช้ได้หรือไม่ ซึ่งถ้ามันไม่เป็นผลในการสร้างความสัมพันธ์เราก็เปลี่ยนวิธีการใหม่ บางครั้งถ้าเราอธิบายตัวเราอย่างที่เราเป็น เปิดใจ โดยไม่ตำหนิหรือปกป้องตัวเอง เราจะสามารถเปลี่ยนท่าทีปฏิสัมพันธ์ได้อย่างมากและเป็นดั่งของขวัญให้อีกฝ่าย
4. "ดึงหูหมาป่า"
ถ้าเราเห็นว่ายังมีบางจุดที่อีกฝ่ายยังไม่เข้าใจ เราอาจแสดงความเข้าใจเล็กน้อยก่อน แล้วสื่อจุดนั้นให้เขาฟังเล็กน้อยอีกครั้ง เช่น "ผมเห็นว่าคุณเจ็บปวดมากตอนนี้ และผมยังต้องการ....." หรือ " ฉันต้องการให้คุณได้ยินความแตกต่างระหว่าง .....กับ....." เราสามารถใช้วิธีนี้ได้มากกว่า 1 ครั้ง หากเรารู้อย่างแน่แท้ว่าเรากำลังเลือกที่จะใช้วิธีการทบทวนนี้
5. "ตะโกนแบบยีราฟ"
ในกรณีนี้เราจะพยายามทำให้อีกฝ่ายได้ยินเราไม่ว่าเขาจะลังเลแค่ไหน ด้วยการเปิดเผยความรู้สึกเจ็บปวดของเราให้เขารู้ โดยยังพยายามใช้ NVC เป้าหมายของเราคือทำให้อีกฝ่ายเห็นความเป็นมนุษย์ของเรา ซึ่งในขณะนั้นเขามักเห็นเราเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำให้ความต้องการของเขาบรรลุผลเช่นกัน เราเปิดเผยตัวเราอย่างเต็มที่ทั้งความรู้สึกและความต้องการ และอย่าลืมบอกคำขอร้องของเราด้วย เราไม่จำเป็นต้องสุภาพหรือทำตัวเป็นคนดี ถ้าเราจริงใจเราสามารถใช้เสียงดังได้ บางทีการเปิดให้เห็นความเปราะบางภายในอาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจเราได้
6. ปฐมพยาบาลด้วยการให้ความเข้าใจตัวเอง
ถ้าเราต้องการให้ความเข้าใจอย่างแท้จริง แต่ขณะนั้นเราติดอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา เราอาจหยุดพักการสนทนาสักครู่ (10 วินาทีหรือนานกว่านั้น อาจบอกว่า "ขอเวลาสัก 1 นาทีก่อนฉันจะตอบนะ) เพื่อให้เราใช้เวลานั้นให้ความเข้าใจตัวเอง เป้าหมายคือเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ของเรา และช่วยให้เรากลับมาอยู่ที่การให้ความเข้าใจอีกฝ่าย ในเวลาเช่นนั้น สำคัญมากที่เราต้องแยกแยะระหว่าง ความต้องการภายในและการทำให้ความต้องบรรลุผล เราเจ็บไม่ใช่เพราะว่ามีความต้องการ แต่เป็นเพราะเราเห็นว่าความต้องการไม่ได้รับการตอบสนองในขณะนั้น ถ้าเราสามารถเปลี่ยนการมองเรื่องความต้องการไม่ได้รับการตอบสนอง มาเป็นมองที่ความงดงามของตัวความต้องการเอง อาจเกิด 2 สิ่งต่อไปนี้ตามมา
หนึ่งคือการรับรู้จะเปิดกว้างและนุ่มนวลขึ้น ซึ่งทำให้สามารถเกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น อีกข้อคือ เราอาจเห็นได้ว่าการให้ความเข้าใจ อาจทำให้ความต้องการของเราได้รับการตอบสนองมากขึ้น เช่น ถ้าเราต้องการความเคารพ เราอาจให้ความเคารพตัวเองได้ด้วยการทำตามคุณค่าของเรา หรือถ้าเราให้ความเข้าใจผู้อื่น เราอาจตอบสนองความต้องการด้านความสัมพันธ์ของเราได้ ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองได้รวดเร็วเช่นนี้ การหยุดพักการสนทนาสักครู่อาจส่งผลให้การสนทนาดำเนินต่อไปได้ราบรื่นขึ้น
7. ขอเวลานอก
บางครั้งแม้เราต้องการสนทนาต่อไปแต่ความเจ็บปวดก็มากล้น จนการพักสักครู่ไม่สามารถช่วยให้เรากลับมาสู่คุณค่าที่เราเชื่อถือได้ ในกรณีเช่นนี้ เราอาจขอเวลาหยุดการสนทนาเพื่อให้เราสามารถกลับมาสู่มุมมองเดิมได้ ตอนนี้เราร้องขออีกฝ่ายให้หยุดพัก และสำคัญมากที่เราจะรับรู้ว่าเรากำลังออกคำสั่ง และบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ เราต้องหยุดเพื่อให้เราสามารถกลับมาพูดคุยอย่างเป็นมรรคเป็นผลได้มากขึ้นในอนาคต จะดีถ้าเรากำหนดว่า เมื่อไรเราจะกลับมาสนทนากันอีกครั้ง หรืออย่างน้อย สัญญาว่าจะเป็นผู้นำเรื่องนี้กับมาคุยกันอีกแน่นอน
8. หาความเห็นใจจากที่อื่น
ในกรณีความขัดแย้งที่ยาวนาน ในช่วงขอเวลานอกเราอาจต้องขอความเห็นใจจากผู้อื่น ซึ่งอาจช่วยให้เรากลับมาสนทนากับอีกฝ่ายได้ อย่างกระจ่างชัดและง่ายต่อการรับฟังมากขึ้น (โดยเชื่อมโยงในระดับที่เปิดเผยมากขึ้น) หรือเปิดใจให้ความเข้าใจได้มากขึ้น
มาเยี่ยมชมค่ะ
เขียนบทความน่าสนใจมากค่ะ