ประสบการณ์อินแปง-น่าน ในครั้งนี้สอนให้เห็น"การมีส่วนร่วม"ในมุมมองใหม่เอี่ยม
ขอเล่าประวัติศาสตร์ความคิดของการมีส่วนร่วมก่อนครับ
รูปแบบอันแสนคลาสสิกที่ผมในฐานะคนทำงานทันตสาธารณสุขมักจะทำคือ
1.เรียกประชุมชาวบ้าน (ถ้าจะให้ดีต้องมีคำว่า) "จากทุกภาคส่วน"
2.ถามว่ามี "ปัญหา (โรคในช่องปาก) อะไร" ที่อยู่ในวงเล็บก็เพราะคนในชุมชนก็รู้อยู่ในใจว่า คุณหมอๆ พวกนี้เขาทำอะไรไม่เป็นหรอกนอกจากสอนแปรงฟัน กับให้บริการหน่วยเคลื่อนที่ถอนฟัน
3.list ปัญหาก็จะเป็นประเภท "เด็กกินขนมมาก" "เด็กฟันผุ" "ผู้ใหญ่เป็นโรคเหงือก" "ผู้สูงอายุไม่มีฟันปลอมใส่" วนเวียนอยู่อย่างนี้
4.คุณหมอๆ ทั้งหลายก็จะให้ชาวบ้านโหวต ลงคะแนนว่า จะให้ความสำคัญกับปัญหาอะไรก่อน อาจจะมีเกณฑ์มาช่วยพิจารณาในการลงคะแนนตัดสิน เช่น ความยากง่ายของปัญหา, ความร่วมมือของชุมชน, ความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหา ฯลฯ
5.ได้ข้อสรุปว่าจะเลือกปัญหาอะไรมาแก้ ซึ่งหนีไม่พ้น เด็กฟันผุ, โรคเหงือก ที่เก๋ขึ้นมาอีกหน่อยก็เป็นประเภท ขนมถุง, บุหรี่ หรือการใส่หมวกนิรภัยในการขี่รถจักรยานยนต์
6.คุณหมอๆ ก็จัดบอร์ดให้ความรู้ กระจายเสียงผ่านวิทยุชุมชนหรือเสียงตามสาย จัดรณรงค์เดินถือป้าย นัดผู้ต้องการทำฟันมารับบริการที่หน่วยบริการทำฟันเคลื่อนที่ ขั้นตอนนี้ถ้าจะให้เก๋ ก็มีการดึงเอาเด็กนักเรียน, ครู มาช่วยผลิตสื่อหรือนำเสนอ หรือประชาสัมพันธ์
7.เสร็จกิจกรรมในเวลาหนึ่งหรือสองวัน มีการประเมินความรู้ที่เพิ่มขึ้นของผู้เข้าร่วมกิจกรรม นับจำนวนคนที่มาร่วมกิจกรรม, ที่มารับบริการทำฟัน มีการทำรายงานสรุปผล แล้วก็ทึกทักเอาว่าชีวิตของชาวบ้านดีขึ้นจากสิ่งที่เราได้ไปทำ
นี่คือ classic model ที่ฝังอยู่ในหัวของผมก่อนที่จะได้มาเปิดหูเปิดตาที่อินแปงกับน่านครับ
แต่สิ่งที่ได้ไปค้นพบก็คือ
องค์กรชุมชนเข้มแข็งมีเยอะแล้ว และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เขากำลังส่งสัญญาณมายังภาครัฐว่า "ก่อนที่ท่านจะ (สะเออะ) มาช่วยอะไรเรา ขอให้ท่านทำหน้าที่ที่ท่านพึงทำ ให้ดีเสียก่อนเถอะ"
ตอบคำถามเราให้ได้ก่อนเหอะว่า ทำไมต้องปิดทำฟันวันศุกร์บ่าย, ทำไมต้องมารับยาเบาหวานได้เฉพาะวันพฤหัส, ทำไมต้องจำกัดคิวคนทำฟันทั้งๆ ที่ตอนบ่ายห้องก็โล่งไม่มีคนไข้ ฯลฯ
นี่คือสิทธิที่เราพึงได้รับการคุ้มครอง
ทำไอ้พวกนี้ให้ได้ก่อน แล้วท่านจะมาเป็นหุ้นส่วนช่วยคิดกับเราก็ยิ่งดี
โดนดีค่ะ
เยี่ยมๆ : )