ในช่วงบ่ายเราถอดบทเรียนทันที นศ. ต่างดูมั่นใจ ช่วยกันแสดงความคิดเห็นและกล้าพูดมากขึ้น อาจเป็นเพราะเป็นการถอดบทเรียนครั้งที่สอง นศ. เริ่มชินกับวิธีการถอดบทเรียนและอาจประกอบกับประสบการณ์ความสำเร็จที่เพิ่งเกิดขึ้น ครูเริ่มด้วยการชมการทำงานของนศ. ทั้งกลุ่มที่ร่วมมือกันทำงานเป็นอย่างดี อย่างที่พบทุกครั้งในการสอนนศ. มาหลายปี นศ. มีความคิดวิเคราะห์ รู้จักโต้ตอบ มีความคิดความอ่านที่น่าทึ่งอยู่เสมอ ทำให้คิดว่านศ. เป็นบุคคลที่มีศักยภาพ เป็นเพชรที่มีค่า ครูเป็นผู้ที่มีหน้าที่เจียระไน หรือส่งเสริมให้นศ. ได้แสดงศักยภาพที่มีอยู่ออกมา ให้ได้มากที่สุด ให้เขาสามารถยืนอยู่แถวหน้าได้อย่างมั่นใจ
เวทีประชาคมครั้งนี้ สิ่งที่ได้ไม่เพียงแค่การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อหาข้อสรุปในการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ แต่ยังได้ empower ชุมชน ได้ empower นศ. ได้แสดงตัวอย่างการสอนเรื่องการจัดเวทีประชาคมแก่อาจารย์ใหม่ที่เข้าร่วมสอน หรืออีกนัยหนึ่ง เราได้ empower ทั้งประชาชน นศ. และครู ผ่านการจัดเวทีประชาคม และสุดท้ายครูได้ความสุขและความภูมิใจที่เห็นความสำเร็จและเจริญงอกงามของนศ.
ท้ายนี้เป็นบันทึกการถอดบทเรียน ที่นศ. ผลัดกันเป็นคุณลิขิต
ประสบการณ์ “การจัดเวทีประชาคม”วัตถุประสงค์ของการจัดเวทีประชาคม· รับฟังความคิดเห็นของชาวบ้าน· เสนอปัญหาที่พบให้ชุมชนรับทราบ· แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ· รับรู้ความต้องการที่แท้จริงของคนในชุมชน· ร่วมกับชุมชนหาแนวทาง / วิธีแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งหาข้อสรุป
สิ่งที่เราได้ทำ· นัดชุมชนไว้เวลา 10.00 น.· เมื่อเราไปถึงที่นัดพบ พบว่า....1) ชุมชนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี มีการเตรียมสถานที่และเครื่องดื่มไว้บริการ 2) มีการเชิญชวนคนในชุมชนมาเข้าร่วมรับฟัง รวมทั้งเชิญคุณลุงสนิทมาด้วย และคุณลุงก็ได้เตรียมเอกสารเกี่ยวกับเรื่องไข้เลือดออก, ไข้หวัดนก มาแจกคนในชุมชน3) มีการเตรียมอุปกรณ์ให้ เช่น โทรโข่ง เก้าอี้ น้ำดื่ม เป็นต้น*** 4) ชุมชนมีการรวบรวมปัญหาหรือความคิดเห็นจากการสอบถามคนในชุมชน แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ และความสนใจต้องการที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งปัญหาหรือความคิดเห็นที่รวบรวมมาได้ มีดังนี้1. ตรวจสุขภาพร่างกายคนชราและเด็ก2. มีน้ำขัง น้ำเน่าเสียทำให้เกิดยุงลาย3. มีสุนัขในซอยที่มีเจ้าของปล่อยออกมาอุจจาระบนทางเดิน ส่งกลิ่นเหม็นและสกปรกเป็นมลภาวะของซอย4. ถังขยะและท่อน้ำอุดตัน เวลาฝนตกทำให้น้ำท่วมในบ้าน
บรรยากาศโดยทั่วไป· ตอนแรกคนมากันโดยประมาณ 17 คน ตอนหลังมีมาเพิ่มอีก 3-4 คน รวมเป็น 20-21 คน· ลักษณะการนั่ง จะจัดเก้าอี้เป็นรูปครึ่งวงกลม เพื่อให้รู้สึกว่าทุกคนมีความสำคัญเท่าๆ กันและเป็นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน· ในการนั่ง อาจารย์แนะนำว่าเราควรนั่งปะปนกับคนในชุมชน เพื่อจะได้มีโอกาสสร้างสัมพันธภาพและกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็น หรือตอบข้อสงสัยได้
ขั้นตอนการดำเนินงาน1. แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน และมาทำอะไรวันนี้ เพื่อให้คนในชุมชนรับทราบโดยทั่วกัน2. ทบทวนว่าตั้งแต่เข้ามาในชุมชนนี้ เราได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว เช่น ได้เดินสำรวจพื้นที่ในชุมชน ว่าบ้านหลังไหนมีคนเจ็บป่วย / ไม่สบาย หรือต้องการการดูแลบ้าง เป็นต้น3. บอกจุดเด่น หรือศักยภาพของชุมชนนี้4. จากการสอบถาม / ประเมินคนในชุมชนบอกว่า มีปัญหาอะไรบ้าง โดยเน้นถึงปัญหาที่สำคัญ 3 เรื่องใหญ่ๆ รวมทั้งชี้แจงถึงรายละเอียดของปัญหา / ข้อมูลสนับสนุนที่เราพบ 5. ให้ชุมชนเสนอปัญหาที่ได้รวบรวมมา แล้วพิจารณาพบว่า ปัญหานั้นตรงกับที่เราได้เตรียมมา แล้วจึงร่วมกันหาข้อแก้ไข โดยทุกคนต่างช่วยกันแสดงความคิดเห็น บางคนก็เสนอที่จะช่วยเหลือเองหรือให้ความคิดเห็นดีๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีแนวคิดไปในทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน6. ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า ชุมชนต้องการให้มีการตรวจสุขภาพ และมีการฝึกอบรมอาสาสมัครสุขภาพ โดยมีคนแสดงตนว่าอยากได้รับการฝึกอบรม จำนวน 4 คน ได้แก่ คุณนงนารถ , คุณชูจิต , คุณชลิต และคุณภาณี และกำหนดวัน เวลา สถานที่ ดังนี้ - 20 มิถุนายน 2550 : ฝึกอบรมอาสาสมัครเพื่อสอนการวัดความดันโลหิต เวลา 10.00 น. ณ บ้านคุณอู๊ด- 22 มิถุนายน 2550 : ตรวจสุขภาพให้คนในชุมชน ( วัดความดันโลหิต, ตรวจน้ำตาลในเลือด ) จัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเรื้อรัง ไข้เลือดออก รวมทั้งการสอนตรวจเต้านมด้วยตนเอง และที่สำคัญในวันนี้เราจะนำอาสาสมัครที่ฝึกอบรมวัดความดันโลหิตเข้ามามีส่วนร่วมโดยการให้บริการวัดความดันให้คนในชุมชน ทั้งนี้เพื่อเป็นการประเมินสิ่งที่ได้ฝึกอบรมไปและถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับอาสาสมัครมากขึ้นด้วย ซึ่งอาสาสมัครกลุ่มนี้ดีใจมากและบอกว่าคนในชุมชนจะได้รู้จักพวกเขาเดิมแล้ว คนในชุมชนอยากให้พวกเราจัดกิจกรรมในวันเสาร์ เพราะจะมีคนมาร่วมงานเยอะเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่พวกเราก็บอกว่า ยินดีและเต็มใจที่จะมาจัดให้ แต่เนื่องจากพวกเราติดภารกิจ จึงไม่สามารถจัดกิจกรรมตามวันดังกล่าวได้ ซึ่งเขาก็เห็นใจเรา7. เนื่องจากชุมชนนี้ไม่มีผู้นำที่ชัดเจน เราจึงเสนอให้คุณเกียงและคุณอู๊ดเป็นผู้นำ ซึ่งคนในชุมชนก็เห็นด้วย และทั้งสองคนก็ยินดีที่จะรับหน้าที่นี้ จากนั้นจึงได้ปรบมือเพื่อแสดงความยินดีที่ชุมชนนี้ได้ผู้นำ8. ก่อนที่พวกเราจะลากลับ คุณอู๊ดได้ขอถ่ายรูปแผนที่ที่พวกเราทำขึ้น แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสนใจอยากได้ภาพหรือแผนที่ของชุมชน
สรุปบรรยากาศวันนี้ นักศึกษาทุกคนลงความเห็นว่าบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่เราต้องการ และทุกคนมีความพึงพอใจในผลงานมาก
ถ้าจะต้องปรับ มีตรงไหนที่อยากจะปรับปรุง- chart แสดงหน้าที่รับผิดชอบของพยาบาลชุมชนที่เตรียมไว้ ไม่ได้นำมาเสนอต่อคนในชุมชน แต่อาจารย์ก็มีความเห็นว่า สิ่งที่เตรียมมาแม้ไม่ได้พูด แต่บรรลุวัตถุประสงค์ก็ถือว่าใช้ได้- ข้อมูลที่เตรียมไปไม่เพียงพอ เช่น สุนัขจรจัดยังไม่ทราบว่าจะต้องแจ้งที่ไหน แต่อาจารย์ก็ให้ความเห็นว่า เราไม่สามารถรู้ทุกเรื่องได้ แต่เราต้องรู้จักแก้ไขสถานการณ์ เช่น ถามต่อว่า แล้วมีใครในที่นี้พอจะทราบบ้างไหมคะ หรือบอกว่าเดี๋ยวจะไปค้นข้อมูลมาให้ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นผู้ที่รอบรู้- ควรมีสมุดจดรายชื่อผู้ที่มาเข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อกัน- ควรมีเครื่องวัดความดันมาแสดงให้อาสาสมัครที่จะฝึกดู เพื่อให้อาสาสมัครมีความสนใจอยากที่จะเรียนรู้มากขึ้น- ควรเตรียมอุปกรณ์ไปให้พร้อม เช่น วันนี้กล้องถ่ายรูปถ่านหมด เป็นต้น และอาจารย์ก็ได้เสนอเทคนิคในการถ่ายรูป ว่าควรถ่ายแบบที่สามารถเล่าเป็นเรื่องราวได้ เช่น เมื่อไปถึง คนในชุมชนได้จัดเตรียมเก้าอี้ไว้ให้ ก็ควรถ่ายรูปเก้าอี้ไว้ และเมื่อเขาเอาเครื่องดื่มมาให้ก็ควรถ่ายรูปเครื่องดื่มไว้ ควรถ่ายภาพที่เป็นธรรมชาติ มีการแสดงกิริยา ท่าทาง ไม่ใช่ภาพนิ่งๆ เฉยๆ แบบตั้งใจ และควรคาดการล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร เพื่อเตรียมถ่ายภาพได้ทัน เช่น เตรียมถ่ายภาพการปรบมือ - พวกเราควรจะประชาสัมพันธ์ให้คนในชุมชนมาร่วมงานกันมากกว่านี้ และอาจารย์ได้แสดงความคิดเห็นว่า ส่วนใหญ่คนที่มาร่วมฟังวันนี้จะเป็นแกนนำหลักของชุมชน การประชุมแบบนี้อาจไม่จำเป็นต้องมีคนมามากนัก เพราะคุณอู๊ดบอกว่าได้ไปถามความคิดเห็นของชาวบ้านมาแล้ว ดังนั้นชาวบ้านไม่จำเป็นต้องมาเข้าร่วมประชุมหมด
บทเรียน/ประสบการณ์ที่ได้รับในวันนี้- การเตรียมความพร้อมที่ดี มีการคาดเดาเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้า มีการเตรียมคำตอบเพื่อแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก- ได้รับประสบการณ์การทำเวทีประชาคม- ได้เทคนิควิธีการพูดโน้มน้าวใจคน- ได้เห็นความร่วมมือของคนในชุมชน- ได้เห็นความต้องการของคนในชุมชน- การให้คำมั่นสัญญา เมื่อเรารับปากว่าจะมาก็ต้องมา ถึงแม้ว่าฝนจะตกก็ตาม- คนในชุมชนบางทีก็เสนอข้อคิดเห็น โดยที่เราไม่ต้องแนะแนวทางเลย- ชุมชนจะเข้มแข็งได้จะต้องมีผู้นำที่ดี โดยที่วันนี้เราก็ได้เสริมสร้างพลังอำนาจให้กับชุมชน
พอดี ผมเป็นนักวิจัยอิสระ ทำงานกับ สกว. ,สสส. และสถาบันวิจัยสังคม มช. ทุกเสาร์จะไปะเป็นอาจารย์พิเศษให้กับวิทยาลัยชุมชนที่อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน สอนวิชาการวิจัยพื้นฐานทางสังคมศาสตร์ครับ และกำลังจะเตรียมสอนเรื่องการนำเทคนิคการจัดประชาคมมาใช้ในงานวิจัยแบบมีส่วนร่วม มาค้นเจอบล็อกนี้เข้า ก็เลยขออนุญาตนำเอาไปให้นักศึกษาวิเคราะห์นะครับ