ในการประชุม กพอ. วันที่ ๒๕ พ.ค. ๕๐ ประธาน คือ ท่าน รมว.ศึกษาธิการ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน
เล่าเรื่องการไปดูงานต่างประเทศเรื่องการออกนอกระบบราชการของมหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ และญี่ปุ่น
ในสิงคโปร์ เขาไม่เรียกการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า corporatization แต่เรียกว่า public autonomous university ซึ่งก็ตรงกับในบ้านเราที่ไม่ใช่การออกไปเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ดังนั้นที่มีคนเรียกว่าเป็นการ privatization จึงผิด
ศ.ดร.วิจิตร ไปพบ รมต.ศึกษาฯ ของสิงคโปร์และถามคำถาม ๒ ข้อ
๑. ในเมื่อมหาวิทยาลัยของสิงคโปร์ที่อยู่ในระบบราชการ (มี ๓ แห่ง) คุณภาพติดอันดับโลกอยู่แล้ว ทำไมต้องเปลี่ยนไปออกนอกระบบราชการ
๒. มหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการไปแล้ว ๑ ปี เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
คำตอบข้อแรก คือ มหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ต้องแข่งขันกับทั่วโลก ต้องมีการปรับปรุงให้แข่งขันได้อยู่ตลอดเวลา การยังอยู่ในระบบราชการพบข้อจำกัด ๒ ข้อ
(๑) ระเบียบราชการบางอย่างไม่เอื้อต่อการปฏิบัติหน้าที่มหาวิทยาลัย
(๒) มหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ต้องการรับอาจารย์จากทั่วโลก คนเก่งหลายคนเมื่อรู้ว่ามหาวิทยาลัยในสิงคโปร์เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ เขาไม่อยากมา เขารังเกียจราชการ
คำตอบข้อหลัง คือ มีแต่ผลดี ทำให้กิจการของมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ดีขึ้น ไม่มีข้อเสียเลย
ในการออกนอกระบบราชการนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ให้คำมั่นว่าจะให้งบประมาณสนับสนุนอย่างน้อย ๗๐% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด และให้อิสระในการขึ้นค่าเล่าเรียน แต่ต้องไม่เกินปีละ ๑๐%
ในญี่ปุ่น มีดำริจะเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการมานาน แต่คนมหาวิทยาลัยต่อต้าน จึงดำเนินการไม่สำเร็จ ต่อมาอดีตอธิการบดี ม.โตเกียว มาเป็น รมต.ศึกษาฯ เอง และเห็นความจำเป็นจึงออกกฎหมายเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการพร้อมกันคราวเดียว ๘๗ แห่ง ในวันที่ ๑ เม.ย. ๒๐๐๔ โดยให้คำรับรองว่า ในการออกนอกระบบราชการนั้น เงินสนับสนุนจากรัฐไม่ลดลง และเงินเดือนของอาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งสูงอยู่แล้วจะไม่ลดลง มีแต่จะสูงขึ้น
เคล็ดลับในความสำเร็จของการที่รัฐบาลต่างประเทศจัดระบบใหม่ด้านอุดมศึกษา ให้มหาวิทยาลัยของรัฐออกไปอยู่นอกระบบราชการ คือ การให้คำรับรองด้านความมั่นคง ทำให้อาจารย์และพนักงานอื่นๆ ของมหาวิทยาลัยไม่กลัวว่าตนจะสูญเสีย และนักศึกษาก็ไม่กลัวว่าจะถูกขึ้นค่าเล่าเรียน
วิจารณ์ พานิช
๒๖ พ.ค. ๕๐
ไม่มีความเห็น