ผมเป็นคนขวางโลก คิดไม่ค่อยเหมือนคนอื่น นี่คือข้อสรุปของภรรยา ผู้ใกล้ชิดกันมากว่า ๔๐ ปี และผมก็เห็นด้วย และใช้เป็นสติเตือนใจ เพื่อดำรงความสัมพันธ์หรือมิตรภาพกับผู้คนไว้ ไม่เอาความคิดขวางโลกของผมเข้าไปบ่อนทำลาย ดังนั้น ในที่ประชุมหลายๆ ครั้งผมจะนิ่งเงียบ เฝ้าครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง ว่าทำไมผมจึงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขากำลังพูดกัน
วันที่ ๒๗ - ๒๘ พ.ค. ๕๐ ผมไปร่วมประชุม UKM 10 ที่นครศรีธรรมราช ธรรมชาติการเป็นคนขวางโลกของผมก็ทำงานตามเคย ผมรู้สึกว่าการประชุมมีลักษณะของการประชุมที่พบเห็นกันทั่วๆ ไปในสังคมไทย คือพิธีกรรมและการต้อนรับ มากกว่าความเข้มข้นทางสาระ พูดแรงๆ คือเปลือกเด่นกว่าแก่น โดยที่เจ้าหน้าที่ของ มวล. ทำงานกันอย่างเอาจริงเอาจังน่าชมมาก แต่ผมก็รู้สึกว่าเป็นปรากฏการณ์ของการ "เน้นเปลือกมากกว่าแก่น" อยู่ดี ทีมงานนี้ของ มวล. ถ้ามาอ่านเข้า อย่าเสียใจนะครับ ผมกำลังอาศัยข้อสังเกตที่ผมเห็นจาก UKM 10 บอกวิธีคิดและความเชื่อของผม ซึ่งผมบอกแล้วว่า "ขวางโลก"
ผมมีนิสัยชอบฝึกตัวเองให้ "เบาสบาย" จากเปลือกหุ้มที่ไม่จำเป็น ซึ่งหมายความว่า ผมจะถามตัวเองอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ ตรงไหนคือเปลือก ตรงไหนคือแก่น ส่วนที่เป็นเปลือกก็ให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น และเท่าที่พอจะปรองดองกับแนวปฏิบัติทั่วไปได้ ผมพยายามฝึกใช้สมอง เวลา และกระบวนการหรือปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ในการทำส่วนที่เป็น "แก่น" หรือหัวใจของสาระสำคัญ ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่โดยทั่วๆ ไป
สรุปว่า ผม "ขวางโลก" โดยจงใจ เพื่อฝึกฝนตนเอง ให้สามารถทำงานชนิด "พุ่งเข้าไปที่หัวใจของเรื่อง" และใช้สมาธิ ปัญญา และศีล ในการสร้างผลงานที่แปลกใหม่ และมีคุณค่าพิเศษต่อสังคมหรือหน่วยงาน ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ หรือยกตน
ที่เล่ามานี้ ไม่ได้ต้องการบอกว่า อะไรดีกว่าอะไร แต่ต้องการบอกว่า "ชีวิตที่พอเพียง" ของผม ดำเนินมาอย่างนี้ เป็นชีวิตที่จะหวังตำแหน่งใหญ่โต หรือมีพวกมาก มีอำนาจมาก ไม่ได้
วิจารณ์ พานิช
๒๙ พ.ค. ๕๐
สวัสดีครับ
ผมกำลังจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น
ขอบคุณครับ
เรียน ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์
อ่านบันทึกนี้ของอาจารย์แล้ว เข้าใจตัวเองขึ้นมากเลยค่ะ ชอบตรงที่อาจารย์บอกว่า
"ผมมีนิสัยชอบฝึกตัวเองให้ "เบาสบาย" จากเปลือกหุ้มที่ไม่จำเป็น ซึ่งหมายความว่า ผมจะถามตัวเองอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ ตรงไหนคือเปลือก ตรงไหนคือแก่น ส่วนที่เป็นเปลือกก็ให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น และเท่าที่พอจะปรองดองกับแนวปฏิบัติทั่วไปได้"
ชอบคำว่า "เท่าที่ปรองดองกับแนวปฏิบัติทั่วไป" ของอาจารย์มากๆค่ะ คิดเสมอเวลามีงานอะไรแบบนี้ว่า เรามักจะไม่ทำอะไรตาม"ธรรมชาติ"นะคะ ก็เลยทำให้สิ่งที่ได้มาไม่ใช่วิถีทางที่"ปกติ" เรามักจะให้ความสำคัญและเสียทรัพยากรไปกับอะไรๆที่ไม่สำคัญมากกว่าเสมอ น่าเสียดายนะคะ