บทความ-วัฒนธรรมการอ่าน
ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2543
ฉบับที่ 1027
บริษัทผลิตสื่อระหว่างประเทศแห่งหนึ่ง จ้างให้สำรวจสิ่งที่เด็กและวัยรุ่นในเอเชียชอบหรือไม่ชอบในนครใหญ่ 29 นคร ใน 14 ประเทศของ เอเชีย – แปซิฟิก
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">พบว่าวัยรุ่นของกรุงเทพฯ นั้นมีมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสื่อทีเดียว ชอบเล่นอินเตอร์เน็ต,ชอบมีมือถือ,ชอบฟังวิทยุ,ชอบดูกีฬา,ชอบอ่านการ์ตูน,ชอบเล่นเกมทางจอ,ชอบงานศิลปะ ส่วนใหญ่ชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวมากกว่าสุงสิงกับใคร</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">เมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต วัยรุ่นกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าการศึกษา และคะแนนสอบคือสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิต</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">แต่เขากลับอ่านหนังสือน้อยมาก แม้แต่หนังสือพิมพ์และนิตยสารก็อ่านน้อยมาก</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p> ข้อนี้ตรงกับการสำรวจของยูเนสโกซึ่งพบว่า คนไทยบริโภคกระดาษเพียง 13.1 ตันต่อปี ต่อ 1,000 คนเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับคนสิงคโปร์หรือฮ่องกงแล้ว พวกนั้นว่าเข้าไปถึง 98 ตันต่อปีต่อ 1,000 คน </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ก็รู้ๆกันอยู่นะครับว่า เมื่อเปรียบเทียบคนในสังคมอื่นๆอีกหลายสังคม (โดยเฉพาะนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) คนไทยอ่านหนังสือน้อย แม้แต่ในหมู่วัยรุ่นที่ให้ความสำคัญแก่การศึกษาไว้สูงสุดก็ตาม</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">อย่างไรก็ตาม เราอาจเถียงว่าไม่ควรติดอยู่แค่รูปแบบของสื่อที่ส่งสารถึงผู้รับ วัยรุ่นไทยอาจไม่ได้อ่านหนังสือมาก แต่เขาก็รับสารจากแหล่งอื่นๆ เช่น อินเตอร์เน็ต, การ์ตูน, หนัง, ทีวี และการสนทนากันในร้านไก่ทอดก็ได้</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ก็จริงหรอกครับ ที่สื่อในรูปแบบอะไรก็สามารถสื่อสารได้ทั้งนั้น แต่สื่อแต่ละชนิดนั้นมีข้อจำกัดในไวยากรณ์ในตัวของมันเอง มันจึงสามารถสื่อสารบางชนิดได้ดี และบางชนิดได้ไม่ดีหรือไม่ได้เอาเลย</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ผมขอยกตัวอย่างสุดโต่งของสื่อสองอย่าง คือ ระหว่างข้อเขียน กับ คำสนทนา</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">เวลาเราคุยกัน มีการสื่อความหมายที่ไม่ใช่คำพูดมากมาย อาจจะเกินครึ่งของสารที่สื่อกันก็ได้ เช่น “สบายดีหรือ” ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย แต่ความหมายที่แท้จริงที่ไม่ได้เปล่งออกมาเป็นคำพูด ก็คือ “ความสัมพันธ์ของเรายังปรกติราบรื่นดีนะ ไม่ห่างขึ้นและไม่ชิดขึ้นทั้งสองอย่าง ฉันจึงใคร่แสดงระดับความสัมพันธ์เดิมระหว่างเราไว้ให้ปรากฏแก่เธอ”</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">นอกจากนี้ เพราะต่างรู้จักกัน จึงเว้นสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างรู้อยู่แล้ว เอาไว้โดยไม่ต้องอ้างถึงเป็นคำพูดได้อีกมากมาย</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ไม่รู้เรื่องก็ซักถามเพิ่มเติมได้ ฯลฯ เป็นต้น</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ทั้งหมดนี้ใช้ไม่ได้เลยในข้อเขียน ซึ่งส่งสารไปโดยไม่รู้ว่าอ้ายหมอไหนที่จะเป็นคนรับสาร จะต้องคิดเรียงลำดับความให้เข้าใจได้ เพราะหมอนั่นถามผู้เขียนเพิ่มเติมไม่ได้ ถ้าอยากสร้างอารมณ์ก็ตีหน้าบูดเบี้ยวไม่ได้ ต้องเลือกใช้คำและความอย่างไรให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ร่วม จะต้องแสดงเหตุผลหรือลำดับความคิดที่ผู้อ่านติดตามได้ และเห็นคล้อยตามได้ ฯลฯ</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"> สารที่จะส่งผ่านข้อเขียนกับที่จะส่งผ่านการคุยกันจึงคงต่างกันอย่างมาก เพราะตัวสื่อบังคับให้ต่าง</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ตัวอย่างที่ผมยกนี้สุดโต่งเกินไปนะครับ เพราะในชีวิตจริงเรามีข้อเขียนที่มีลักษณะเป็นการสนทนาอยู่มากมายเช่น จดหมายส่วนตัว เป็นต้น</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">แต่ผมคิดว่าสื่อข้อเขียนถ้าใช้มันไปจนสุดความสามารถของมันแล้ว มันนำสารที่มีลักษณะเฉพาะบางอย่างซึ่งสื่อชนิดอื่นไม่สามารถส่งผ่านได้</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">เช่น สื่อข้อเขียนย่อมแสดงตรรกะได้ชัดเจนที่สุด และซับซ้อนที่สุด เหตุดังนั้น สื่อข้อเขียนจึงสามารถนำไปสู่ความคิดทางนามธรรมซับซ้อนได้มาก เช่น เป็นความคิดที่ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้รับสาร และไม่เกี่ยวกับกรณีเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ การรับสารจากสื่อข้อเขียนจึงต้องใช้จินตนาการให้กว้างขึ้น เดี๋ยวต้องลองนึกจากมุมนี้ เดี๋ยวก็ต้องลองนึกจากมุมโน้น ไม่หยุดนิ่งอยู่ที่บุคคลใดหรือมุมใดมุมหนึ่งเพียงจุดเดียว</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">เขาเรียกการรับสารอย่างนี้ว่าการอ่านครับ อ่านในภาษาไทยนั้นแปลว่าถอดรหัสที่เป็นตัวยึกยือออกมาเป็นภาษาก็ได้ และแปลว่าตีความจนเข้าถึงแก่นของความหมายก็ได้ (เช่น อ่านเกมออก)</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">สารที่ได้มาจากการอ่าน และสารที่ได้จากการฟังจึงไม่เหมือนกันครับ</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ในแง่นี้แหละครับ ที่ผมออกจะสงสัยว่าการอ่านนั้นไม่ได้มีอยู่ในวัฒนธรรมไทยมาแต่เดิมแล้ว</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ผมไม่ได้หมายความถึงการถอดรหัสยึกยือซึ่งว่ากันว่าพ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์ขึ้นนะครับ อันนั้นคนไทยอ่านออกมานมนานเต็มทีแล้ว แต่ผมหมายถึงการอ่านแบบตีความจนเข้าถึงแก่นของความหมาย หรือการพัฒนาสื่อตัวหนังสือไปจนถึงสุดแดนความสามารถของมัน ก็อาจยังไม่ได้ทำในวัฒนธรรมไทย</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า แต่เราก็มีงานเขียนมาเก่าแก่แล้วจะอ่านหนังสือไม่แตกได้อย่างไร</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ขอให้สังเกตเถิดครับว่า งานเขียนโบราณของเราจำนวนมากนั้น มีไว้อ่านดังๆ เช่น ใช้ขับหรือใช้สวดหรือใช้ประกอบนาฏศิลป์ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีไว้ฟังครับ ไม่ได้มีไว้อ่าน</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">เนื้อความจึงมีลักษณะเป็นการ “เล่า” ไม่ใช่การวิเคราะห์หรือการเสนอความคิดนามธรรมที่สลับซับซ้อน</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ในวรรณกรรมโบราณของไทยนั้น ถ้าไม่ “เล่า” ก็จะเล่นเสียงสัมผัสสระสัมผัสอักษรกันนัวเนีย ซึ่งจะได้รสชาติก็ต้อง “ฟัง” ไม่ใช่ “อ่าน”</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">แม้แต่ภาษาความเรียงรุ่นแรกๆ ก็ยังเป็นการ “เล่า” มากกว่าฟังอยู่นั่นเอง เช่น ที่เราอาจพบในพระราชพงศาวดาร, ตำนาน และสามก๊ก เป็นต้น ล้วน “เล่า” ทั้งนั้น</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">(จนถึงทุกวันนี้ หนังสือไทยที่ขายดีๆ ก็ยังพยายามลอกเลียนสื่อประเภทฟัง เช่น ทำข้อเขียนให้เหมือนมีคนมานั่งคุยกับผู้อ่าน เป็นต้น)</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ข้อนี้ไม่ใช่จุดด้อยในวรรณกรรมไทยหรอกนะครับ วรรณกรรมชาติอื่นๆ รวมทั้งฝรั่งก็เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน จนเข้ามาถึงยุคใหม่แล้ว วรรณกรรมตัวเขียนจึงสร้างกันขึ้นเพื่ออ่านมากกว่าฟัง</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ผมคิดว่า เป็นไปได้ที่ส่วนใหญ่ของคนไทยก็ยังอยู่ในวัฒนธรรมการฟังมากกว่าการอ่าน และที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยก็เพราะเราไม่คุ้นกับการรับสารผ่านสื่อประเภทนี้นั่นเอง</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ตามการสำรวจเขาบอกว่า แม้แต่อินเตอร์เน็ตที่วัยรุ่นไทยชอบเล่นนั้น ก็นิยมเข้าไปในห้องสนทนาเพื่อคุยกับสมาชิกที่ไม่เคยเห็นหน้าในห้องนั้นมากกว่าอย่างอื่น … ตกเป็นอันรับสื่อผ่านการพูดคุยหรือ “ฟัง” นั่นเอง</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">สังคมในเอเชียที่มีสถิติการอ่านสูง ล้วนเป็นสังคมที่มีภูมิหลังทางวัฒนธรรมจีนทั้งนั้น เพราะจีนเป็นวัฒนธรรมที่มีประเพณีการอ่านมาแข็งแกร่งยาวนานที่สุด</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ผมไม่ต้องการให้เข้าใจว่าการรับข้อมูลจากการอ่านนี้เหนือกว่ารับผ่านสื่ออื่นๆ</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">สื่อทุกอย่างย่อมมีข้อดีข้อเสียในตัวเอง ตลาดซึ่งเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลที่สำคัญในสมัยหนึ่งนั้น ทำให้คนได้ข่าวสารข้อมูลกว้างขวางมาก รวมทั้งได้ท่าทีและความเห็นที่พึงมีต่อข่าวมาพร้อมเสร็จสรรพ เหมือนหนังสือพิมพ์ไทยทุกวันนี้เป๊ะเลย แต่ข่าวและความเห็นนั้น ก็มีมาหลายกระแส บางเรื่องก็ต้องซุบซิบเล่ากัน ซึ่งยิ่งทำให้น่าเชื่อถือ</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"> คนแต่ก่อนจึงอาจมีความเป็นอิสระในการเลือกรับข่าวดีกว่าคนปัจจุบันที่ได้ดูแต่ทีวีช่องรัฐบาลก็เป็นได้</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ข่าวสารข้อมูลที่ได้จากการฟังก็ไม่เสียหายอะไรหรอกครับ เพียงแต่เมื่อเป็นสื่อประเภทเดียว ก็ทำให้จำกัดประเภทของข่าวสารไปด้วยในตัวอย่างที่บอกแล้ว ฉะนั้น ข่าวสารที่ได้จากการอ่านจึงมีความสำคัญและมีประโยชน์แน่ๆ</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">แต่จะให้คนอ่านหนังสือมากขึ้น เพียงยั่วยุกันให้เข้มข้นขึ้นก็คงไม่สำเร็จ เพราะคนไม่อ่านหนังสือก็เพราะไม่มีวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็งมาก่อน จะทำให้คนไทยรักการอ่านมากขึ้นจึงต้องคิดไปถึงการเปลี่ยนกระบวนการรับข่าวสารในวัฒนธรรมไทยด้วย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p> เช่น เปลี่ยนจากคำอธิบายบนกระดานดำเป็นบทต่างๆ ในตัวหนังสือแทน เป็นต้น หนังสือไม่ใช่อ่านประกอบ แต่กระดาษดำต่างหากที่เป็นตัวประกอบ
คนไม่อ่านหนังสือก็เพราะไม่มีวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็งมาก่อน
สวัสดีค่ะดิฉันสนใจอ่านบันทึกนี้ มีความเห็นว่า ส่วนใหญ่ น่าจะมีส่วนถุก ตามที่คุณกล่าวมา แต่ ก็อยู่ที่ครอบครัวด้วย ถ้าเป็นครอบครัวที่มีความรู้หน่อย เด็กก็ซึมซับการรักการอ่านไปด้วยค่ะ แต่อาจจะมีจำนวนน้อยกว่า ภาพรวม ถ้าคนไทยเรียนมากขึ้นๆ การรักการอ่านก็จะมากขึ้นแน่นอน
พอเริ่มยาว คนไทยบางคน ก็ขี้เกียจอ่านจริงๆ ด้วย :-P
blog อาจจะเปลี่ยนเด็กไทย และสังคมไทยไปเลยก็ได้?
แวะมาอ่านครับ
จริงๆครับที่คนสนใจการอ่านไม่มากเท่าที่ควรยกตัวอย่าง ถ้าบันทึกยาวก็จะมีคนอ่านน้อย เด็กชอบอ่านหนังสือใกล้สอบ (ทั่งๆที่มีเวลาก่อนสอบมากมาย)
ถ้าจะวิเคราะห์ว่าเพราะอะไร ผมก็ตอบแบบบกำปั้นทุบดินว่า คนอ่านน้อยถ้ามันไม่สนุก ไม่รู้สึกเพลิดเพลิน การอ่านต้องใช้สมาธิมาก แต่ปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุที่น่าสนใจกว่าการอ่าน
แล้วควรแก้ไขหรือไม่? ผมคิดว่าควร เพราะการอ่านให้อะไรหลายอย่างที่สื่อแบบอื่นให้ไม่ได้ นั่นคือนอกเหนือจากข้อมูลที่ได้ดังใจต้องการแล้ว การอ่านให้สมาธิ ให้คนเรารู้จักคิดจิตนาการมากกว่าหนัง ละคร หรือสื่ออื่นๆ
แก้อย่างไร ต้องฝึกแต่เล็ก ผมเองสมัยเด็กๆ โดยแม่บังคับอ่านหนังสือ เมื่อก่อนก็เบื่อ แต่พอปัจจุบันกลับวางหนังสือไม่ลง
ต้องฝึกแต่เด็ก ทำหนังสือให้เป็นความบันเทิงให้ได้ พ่อแม่ครูอาจารย์ต้องเป็นแบบอย่างของนักอ่านที่ดี
สอนเด็กตามวัยอันสมควรว่าอ่านแล้วได้อะไร เช่น อ่านนิทานให้ลูกฟัง แล้วถามเขาว่านิทานเรื่องนี้สอนอะไร จนมาถึงมหาวิทยาลัยที่เน้นให้ผู้เรียนคันคว้าเอง เขาก็จะต้องเลือกอ่านและอ่านให้มาก อ่านให้เป็น หรือแม้แต่การทำ blog g2k ก็เป็นสื่อหนึ่งของการอ่านได้ (อ่านประสบการณ์+ให้ความเห็น) ทำให้มีความสนุกในการอ่าน+กระตุ้นให้คนอยากเขียน
ขออภัยที่ความเห็นผมยาวไปหน่อยครับ
ดิฉันล็อกอินแบบกระโดดตุ้บเข้ามาเลยค่ะ ชอบอ่านบทความอาจารย์นิธิ : )
บทความนี้เป็นบทความภาคบังคับให้นักศึกษาทุกคนอ่านในรายวิชาที่ดิฉันสอน ก่อนเรียนวิชาการเขียน คำว่าบังคับแปลว่าต้องมีวิธีสื่อสารให้เขาอยากอ่าน (ซึ่งได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง)
อยากทราบความคิดเห็นของคุณkati เกี่ยวกับนิสัยการอ่านของเด็กไทยสักนิดจังค่ะ ขอบพระคุณที่โพสต์บทความดีๆมาเผื่อแผ่ให้อ่านกันนะคะ