ตามปกติผมไม่ค่อยได้อ่านหน้า Business ของ นสพ. เดอะ เนชั่น ที่ผมบอกรับเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์ แต่วันนี้ (๑๙ พ.ค. ๕๐) ไม่ทราบมีอะไรบันดาลใจให้ผมอ่าน แล้วก็พบข่าวใหญ่ ว่าตลาดหลักทรัพย์ประกาศว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์รวมกว่า ๕๐๐ บริษัท กำไรหดลงไป ๒๑% ในไตรมาสแรกของปี แสดงว่า "สุขภาพด้านเศรษฐกิจ" ของประเทศไม่ดี
ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของข่าวนี้นัก แต่เดาว่าข่าวนี้คงจะทำให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ไม่สบายใจ ฝ่ายค้านหรือศัตรูของรัฐบาล ก็คงจะหาทางบอกว่า เห็นไหม รัฐบาลนี้ไม่มีฝีมือ
เราดูฝีมือกันที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่วัดด้วยอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นวิธีวัดที่ถูกต้องแล้วหรือ แล้ว SME อีกจำนวนมากมายหลายร้อยเท่าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แค่ห้าร้อยเศษ ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง เรามีตัวเลขชี้วัดการเติบโตหรือไม่ และควรเป็นข่าวที่ใหญ่กว่าหรือไม่
เราดูฝีมือกันที่การเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมเท่านั้นหรือ ไม่ดูที่ความสามารถในการสร้างรากฐานความมั่นคงระยะยาว โดยเฉพาะรากฐานด้านสติปัญญาของผู้คนเลยหรือ ผมสงสัยว่าในบ้านเมืองของเรา ผู้คนจะสนใจแต่เรื่องเฉพาะหน้า เรื่องผิวเผิน เท่านั้น ไม่สนใจเรื่องลึกๆ เรื่องระยะยาว อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะเรื่องการเรียนรู้ (กว้างและลึกกว่าเรื่องการศึกษา) เรื่อง (สัมมาทิฐิ) ของผู้คน
รัฐบาลนี้เน้นพัฒนาประเทศสู่เป้าหมายเศรษฐกิจพอเพียง ชีวิตที่พอเพียง จึงต้องมียุทธศาสตร์หามาตรวัดความสำเร็จในการขับเคลื่อนชีวิตที่พอเพียง ผมลองตั้งชื่อง่ายๆ ว่า ดัชนี ชพพ. แต่ละไตรมาสก็มีตัวเลขประกาศผล ดัชนี ชพพ. ที่วัดโดยสถาบันที่ผู้คนเชื่อถือ มีการเปรียบเทียบกับของปีที่แล้ว กับปีโน้น ก็จะทำให้สังคมมีเรื่องให้ยึดเหนี่ยวอีกแนวหนึ่ง เป็นแนว ศพพ. ขณะนี้เราโดนครอบงำโดยแนวขยายตัวทางเศรษฐกิจมากไป
นี่คือความเชื่อ ความคิดคำนึงของผม ซึ่งอาจเป็นความคิดที่ผิดโดยสิ้นเชิงก็ได้ แต่เคยบอกแล้วว่าผมมีนิสัยชอบเถียงมาตั้งแต่เด็ก แก้ไม่หาย ผมบอกตัวเองว่า อย่าไปเชื่อไอ้ตัวเลขเหล่านั้นให้มากนัก มันอาจเป็นตัวเลขที่ให้ความหมายหลอกเราก็ได้ หลอกให้เราหลงไปตามกระแสที่คนอื่นชักจูง เราควรเป็นตัวของเราเอง มีภูมิคุ้มกันจากกระแสลวงให้มากที่สุด
วิจารณ์ พานิช
๑๙ พ.ค. ๕๐