สิ้นลมในอ้อมกอดของศาสนธรรม
เนาวรัตน์ ปะกียา พยาบาลจากโรงพยาบาลรามัน จ.ยะลา ได้ปันความรู้จากโลกของมุสลิมว่า ศาสนาอิสลามมีการสั่งสอนผู้ศรัทธาเสมอว่ามนุษย์ทุกคนล้วนต้องตาย แต่แทนที่จะมากังวลใจ ชาวมุสลิมกลับเตือนสติตนเองด้วยคำถามของการดำรงอยู่ ดังเช่น เราควรใช้ชีวิตอย่างไรให้มีคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่นมากที่สุด ก่อนที่วาระสุดท้ายจะมาถึงเพื่อกลับไปหาพระเจ้า
“ชาวมุสลิมจะไม่ทรมานศพ ไม่มีการผ่าชันสูตรหรือเอาอะไรไปกดทับอก มุสลิมจะนำศพมาสวดท่ามกลางวงล้อมของหมู่ญาติและเพื่อน” เนาวรัตน์ กล่าว
เช่นเดียวกับคริสต์ศาสนาที่ไม่สนับสนุนให้มีการยื้อชีวิต แต่กลับสอนให้ผู้ใกล้ลาจากเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อพบกับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผลจากการเตรียมพร้อมดังกล่าวกลับส่งผลให้เห็นแล้วต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายก่อนที่วาระสุดท้ายจะมาถึง
สุภรณ์ อุดมทัศนีย์ อาสาสมัครโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ วัย 80 ปี อดีตพยาบาลและชาวคริสเตียนที่เดินทางมาร่วมวงเสวนาครั้งนี้ด้วย เธอบอกว่าคำสอนของศาสนาคริสต์จะไม่เคร่งครัดว่าผู้ใกล้จากไปจะต้องตายที่ไหน อาจเป็นบ้านหรือโรงพยาบาลก็ได้ ที่สำคัญที่สุดคือการได้กลับไปสู่อ้อมกอดของพระเจ้าด้วยใจอันสงบและเป็นสุข
“ณ ที่นั้น จะไม่มีความโศกเศร้า มีแต่ความสบาย ทุกวันนี้ หลังจากที่ได้ทำพินัยกรรมชีวิตแล้วก็สบายใจ ใช้ชีวิตทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ต้องขอขอบคุณพระเจ้าที่ได้ประทานสุขภาพที่ดีมาให้ ทำให้เราสามารถทำงานได้” สุภรณ์ กล่าว
ศ. นพ. วิฑูรย์ กล่าวว่า แพทย์เรียนการรักษาชีวิต แต่ไม่ได้เรียนวิชาการตายดี ดังนั้นคนทุกคนต้องร่วมกันเรียนรู้วิชา “ตายดี” รวมถึงผู้ที่อยู่ในระบบบริการสาธารณสุขด้วย
วรรณา จารุสมบูรณ์ ผู้จัดการโครงการเผชิญความตายอย่างสงบ เครือข่ายพุทธิกา “ความรู้เรื่องนี้ไม่ใช่ของแพทย์และพยาบาล แต่ทุกคนสามารถช่วยกันให้เราจากไปด้วยดีได้ เราควรพูดเรื่องนี้กันให้ชีวิตให้มากขึ้น ให้ความตายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสชีวิต”
ไม่มีความเห็น