อนุทิน 127117


ทองย้อย
เขียนเมื่อ

บัวนอกเหล่า

--------------

ที่บ้านผมเลี้ยงหมาหลายตัว

ตัวแรกเป็นหมาวัดครับ
ลูกหมาตัวเมีย สีเขียว ตัวเล็กนิดเดียว เป็นหมาหลงแม่
มันมาป้วนเปี้ยนใต้โต๊ะวางของตักบาตร ลูกๆ ผมจับตัวมันเล่น มันเลย “ติดมือ” อยู่ตรงนั้น

พอตักบาตรเสร็จเราก็เลยถือวิสาสะ
ขออนุญาตพระ (ในใจ) เอามันติดมือกลับบ้านด้วย

มาถึงบ้านมันก็ร่าเริงดี
อยู่ได้วันหนึ่งก็ไม่ยอมกินอะไร

แล้วก็นอนหายใจแขม็บๆ
ทำท่าจะไม่รอด

หยอดข้าวหยอดน้ำกันอยู่พักหนึ่งก็ค่อยฟื้นขึ้นมาได้
คราวนี้กินเป็นการใหญ่
ที่ชอบมากเป็นพิเศษคือขนมไข่ กินได้กินดี

เราก็เลยตั้งชื่อมันว่า “ขนมไข่”

พอค่อยโตเป็นสาวก็ได้เรื่อง
บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านพักครูอยู่ภายในวิทยาลัย ไม่มีรั้วรอบขอบชิด

ขนมไข่อยู่บ้านเราก็จริง แต่มันก็เป็นอิสระ ไปได้ทั่ว

แล้วมันก็ไปได้ลูกมาเป็นครอกแรก
๘ ตัว เลี้ยงกันยั้วเยี้ยไปเลย

ขนมไข่มีลูกอีก ๒ ครอก จนเราย้ายออกมาอยู่บ้านตัวเองข้างนอก เราก็เอามันมาอยู่กับเราด้วย

มันมีลูกครอกสุดท้ายเป็นลูกโทน

ตอนบั้นปลายชีวิตของขนมไข่ เราคิดว่าหมดจากมันและลูกของมัน เราก็จะไม่เลี้ยงหมาอีกแล้ว

แต่แล้วตอนที่ขนมไข่มีลูกครอกสุดท้าย อาจารย์ที่บ้านผมก็ไปเจอเหตุสลดใจ

คือหมาออกลูกใต้สะพานลอยหน้าวิทยาลัย
ตัวแม่นอนตายกำลังจะขึ้นอืด ลูกเล็กๆ ๖ ตัวคลานอยู่ข้างๆ ตัวแม่

เธอขอแรงยามของวิทยาลัยให้ช่วยอพยพลูกหมามาที่บ้าน

เป็นอันว่าที่คิดจะเลิกเลี้ยงหมานั้นไม่สำเร็จ

คราวนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะขนมไข่กำลังมีลูกอ่อน ลูกหมาอีก ๖ ตัวมาอยู่ด้วย ขนมไข่ไม่ชอบลูกหมาที่มาอยู่ใหม่
คอยจะเข้ามากัด ต้องระวังกันแย่ ถึงกระนั้นก็โดนกัดตายไปตัวหนึ่งหรือสองตัวจนได้

ลูกหมา ๖ ตัว เลี้ยงมาตั้งแต่ยังต้องป้อนนม ในที่สุดรอดมาแค่ตัวเดียว เป็นตัวเมีย (อีกแล้วจนได้)

เราเรียกมันว่า “เปรียว” เพราะมันเปรียวที่หลบหลีกเขี้ยวเล็บของขนมไข่และโรคภัยอื่นๆ รอดมาได้

ตอนที่เปรียวเริ่มจะโต ขนมไข่ก็ตาบอด เราไม่รู้ว่ามันตาบอดเพราะอะไร ตอนตาบอดนี่ขลุกขลักนิดหน่อย
เพราะมันจะเดินชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย

อยู่มาไม่นานมันก็ตาย
ผมขุดหลุมฝังขนมไข่ไว้ภายในบริเวณบ้าน
ลูกของมันครอกก่อนๆ หลายตัวที่มีอันต้องตายไปก่อน รวมทั้งลูกโทนตัวสุดท้ายของมันที่ตายตอนอายุเกือบปีก็ฝังในบริเวณบ้านด้วยเช่นกัน

เป็นอันว่าหมดรุ่นหมาวัด เราก็ได้หมาใต้สะพานลอยสืบทอดกันต่อมา

บ้านเรามีรั้วรอบ แต่ก็มีเวลาปล่อยให้หมาออกไปนอกบ้านเป็นครั้งคราว

ตอนเปรียวเป็นสาวเต็มตัวเราคอยระวังไม่ให้มันออกไปนอกบ้าน
แต่แล้วก็พลาดจนได้

มันหลุดออกไปอยู่นอกบ้านคืนเดียว ก็มีลูกออกมา ๕ ตัวในเวลาต่อมา

โบราณว่า แมว ๕ หมา ๖ เลี้ยงไว้มักมีเรื่องหยุกหยิกเรื่อยๆ

เราก็เลยยกลูกหมาให้ญาติไป ๒ ตัว

ไม่ใช่เพราะเชื่อโบราณ
แต่เพราะเห็นว่าหมา ๖ ตัวเป็นภาระที่ออกจะหนักสักหน่อยในการเลี้ยงดู

เราตกลงทำหมันให้เปรียวเพราะไม่อยากจะเลี้ยงลูกให้มันอีก
ลูกมัน ๓ ตัวที่อยู่กับเรา เป็นตัวเมีย ๒ ตัว พอโตได้ที่ก็ทำหมันเสียด้วยเลย

เรื่องก็ควรจะจบลงด้วยประโยคว่า

..แล้วก็อยู่กันด้วยความสุขสืบมา

.........


หมาที่บ้านผมกินข้าววันละ ๒ เวลา คือเช้ากับเย็น มีชามให้ตัวละชาม และวางแยกที่กันเพื่อไม่ให้แย่งกัน
แต่ละตัวจะรู้ที่ประจำของตัว

เปรียวนั้นพอลูกโตก็กลายเป็นเบี้ยล่างของลูก
โดนลูกแฮ่เข้าใส่บ่อยๆ กินก็ไม่ทันลูก ลูกกินของตัวหมดแล้วก็ไปแย่งชามแม่

แม่ก็แสนดี พอลูกยื่นปากมาก็ถอยออก ยอมให้ลูกกินแต่โดยดี

เราก็เลยต้องใช้วิธีทำลูกกรงกั้นตัวแม่ไม่ให้ตัวลูกเข้าไปแย่ง แม่จึงค่อยได้กินอิ่ม

คราวนี้เป็นอันรู้กันว่าพอได้เวลากิน เปรียวจะเดินเข้าไปหลังลูกกรง มีชามของมันอยู่ในนั้น เราก็ดึงประตูลูกกรงปิด
พอกินเสร็จก็เปิดประตูให้ออก

มีบางวันเราลืม
ถ้าลืมเกินเวลาอันสมควร มันก็จะส่งเสียงเตือนอย่างสุภาพ

ลูกกรงที่ว่านี้อยู่ด้านหลังของบ้าน
เวลาจะเอารถออกหรือเข้าบ้าน ต้องเปิดประตูหน้าบ้าน เราก็จะขอร้องบรรดาหมาทั้งหลายให้เข้าไปอยู่ในลูกกรงนี้
แรกๆ ก็ไล่ต้อนกันวุ่นวายหน่อย แต่พอชักรู้กันก็ค่อยง่ายขึ้น

เดี๋ยวนี้แค่บอกว่า “ไปหลังบ้าน” ทุกตัวก็จะวิ่งชักแถวเข้าไปอยู่ในลูกกรงหลังบ้านเป็นอันดี

โดยมากพอได้ยินเสียงสตาร์ทรถ ทุกตัวก็จะมายืนรอคำสั่งอย่างรู้ที

เป็นความน่ารักอย่างหนึ่งที่หมามอบให้เรา

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ตอนนี้เปรียวตาบอดอีกตัวหนึ่งแล้ว

วันๆ มันมักนอนนิ่งๆ แต่ก็มีเวลาเดินไปมาแบบกลัวๆ กล้าๆ ชนโน่นนี่บ้างนิดๆ หน่อยๆ

เวลาถ่ายปกติจะไปเลือกมุมกำแพงบ้านที่รกๆ
ตอนนี้ถ่ายทั่วไปเพราะไปหามุมไม่เจอแล้ว

แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ เวลากินยังต้องให้เข้าไปหลังลูกกรงเหมือนเดิม (มิเช่นนั้นตัวอื่นแย่งกินหมด)

เพราะฉะนั้น พอถึงเวลากินก็มักจะมีปัญหากับคนเลี้ยง แบบว่า-คนเลี้ยงก็อยากให้มันเดินเข้าไปได้เองเหมือนเมื่อก่อน แต่เจ้าตัวเข้ากรงไม่ถูกเพราะมองไม่เห็น จึงมักจะมี “ปากเสียง” กับคนเลี้ยงอยู่เนืองๆ

----------------

ที่เขียนมานี้ใจผมอยากจะขมวดเรื่องไว้ที่ตรงนี้

คือหลายๆ อย่างที่เราอยากให้คนอื่นเป็นอย่างนั้นทำอย่างนี้อย่างใจเรา
โดยลืมไปว่าความสามารถที่จะเป็นที่จะทำ ของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน

พ่อแม่อยากให้ลูกฉลาด
แต่ไม่ทันได้นึกว่าพื้นฐานที่ลูกจะฉลาดมีแค่ไหน

ครูอยากให้เด็กเรียนเก่ง
แต่ลืมไปว่าสมองของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน

หลวงพ่อวัดที่ผมไปทำบุญท่านมักปรารภกับญาติโยมว่า
“คนวัด” ในปกครองของท่านไม่ได้เรื่อง สั่งสอนอะไรก็ทำไม่ได้อย่างใจ

“บอกแล้วบอกอีก พูดจนปากจะฉีก มันก็ยังไม่ค่อยจะได้เรื่อง” ท่านว่าอย่างนั้น

ผมนึกถึงพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าจะแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก
ทีแรกท่านจะไม่โปรด เพราะธรรมะเป็นของลึกซึ้งคงไม่มีใครเข้าใจ

“เทศน์ไปก็เหนื่อยเปล่า” ประมาณนั้น

แต่เมื่อคำนึงถึงว่าคนเรามีสติปัญญาหลายระดับเหมือนบัวหลายเหล่า

ระดับที่-พอแย้มปากก็เข้าใจทะลุ เหมือนบัวพ้นน้ำก็มี

- ชี้แนะให้นิดเดียว ก็เห็นทางไปได้ตลอด เหมือนบัวปริ่มน้ำก็มี

- อธิบายซ้ำๆ จึงจะพอเข้าใจ เหมือนบัวกำลังทะลึ่งน้ำก็มี

- และชนิดที่ฟังพอเป็นอุปนิสัยปัจจัย ชาตินี้เป็นเหยื่อพญามารไปก่อน เหมือนบัวเน่าติดเหง้าใต้โคลนก็มี

สัตว์โลกบางชนิดเป็นบัวอะไรไม่ได้เลยสักเหล่าก็มี

ตามเรื่องท่านว่าท้าวสหัมบดีพรหมลงมาทูลอาราธนา พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงธรรม

เกิดเป็นพระพุทธศาสนา เป็นมรดกโลกอันเป็นอมตะมาจนทุกวันนี้

 

ช่วยกันแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาให้ “แม่เปรียว” เขาหน่อยนะครับ


๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท