ข. ไปเรียนจาก ITRI แล้วได้อะไร?
สิ่งที่เรียนรู้จาก course นี้ จาก perception ของผู้เขียน พอจะแยกได้ว่าเป็นภาคทฤษฎี 30% และภาคปฏิบัติ (จากการได้รู้ได้เห็นได้รับฟังประสบการณ์จริง) 70%
นี่ก็เป็นสัดส่วนตามที่คาดหวัง เพราะตั้งใจจะเน้นการมาหาความรู้นอกตำราตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
คำถามในใจตอนเริ่มต้นหลักสูตรมีอยู่สองส่วน
คำตอบที่ได้ (เท่าที่เขาบอกเรา) คือ กระบวนการสองส่วนนี้ แท้ที่จริงไม่ได้แยกจากกัน แต่ถูก integrate กันอยู่ในรูปของสูตรที่เรียกว่า NSDB เพื่อให้เกิด value creation แต่ละตัวอักษรมีความหมายว่า...
ทั้ง 4 ตัวนี้ แต่ละตัวแยกกันอยู่ไม่ได้ ต้องไปด้วยกันจึงจะมีความหมาย Dr. Wang ผู้อำนวยการของ ITRI College กล่าวว่า NSDB คือกรอบที่ช่วยให้เราโฟกัสความคิด ไปที่เรื่องสำคัญเพียงไม่กี่เรื่อง ที่มีผลต่อการเดินหน้าโครงการให้เกิดผลต่อผู้ใช้ (แล้วเลิกถามคำถามที่ฟุ้งซ่าน ไม่เกี่ยวข้องกับนักวิจัยหรืองานวิจัย)
NSDB จึงเป็น minimalist approach ที่ใช้ในการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย ลงไปถึงระดับรายโปรเจ็ค และที่สำคัญกว่านั้น มันเป็นเครืื่องมือเปลี่ยนวัฒนธรรมการคิดของผู้วิจัยเอง ให้เริ่มต้นมองที่ลูกค้า (ผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย) เป็นหลัก ไม่ใช่เอาความสนใจของตัวเองเป็นหลัก ท่าทีที่ปฏิบัติต่อลูกค้าเมื่อออกไปพบหารือก็จะเปลี่ยนไป นักวิจัยจะเข้าใจความรู้สึก และความต้องการ (unmet needs) ความเจ็บปวด (pain) ของลูกค้ามากขึ้น
เมื่องานวิจัยแบบขึ้นหิ้งไม่ถูกผลิตขึ้นตั้งแต่ต้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ value creation ครับ!!!
ไม่มีความเห็น