ออกเดินทางจากขอนแก่น เวลาประมาณบ่ายโมง ไปรับน้องติ๋วที่บ้านจากนั้นเราก็ขับรถมุ่งหน้าที่หนองคายตามที่ได้นัดหมายกันกับพี่เอียดและพี่รุ่ง การเดินทางครั้งนี้เราไม่รีบมากนัก แวะนั่งจิบกาแฟที่ร้านริมทางที่จังหวัดอุดร... จากนั้นก็เคลื่อนกันต่อมาที่หนองคายถึงที่หมายก็ค่ำพอดี เรานำจักรยาน มาประกอบและพร้อมปั่น
ฉันชี้ไปทางสะพานข้าม “มิตรภาพไทย-ลาว” บอกกับน้องติ๋วว่านั่นคือเป้าหมายของเราที่เราจะปั่นจักรยานไปที่นั่น น้องติ๋วรับคำและเราก็ปั่นกันไปตามทาง ถามผู้คนแถวนั้นเป็นระยะๆ ปั่นไปแบบไม่เร่งรีบ ที่สุดเราก็ถึงสะพานและได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ ถึงการนำจักรยานปั่นไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็คือ ปลายสะพานฝั่งลาวนั่นเอง เจ้าหน้าที่มองหน้าเราสองคน และตัดสินใจว่าเราอย่าปั่นไปเลยให้นำรถจักรยานขึ้นรถโดยสารดีกว่า เราสองคนจึงตัดสินใจ ที่จะไม่ปั่นข้ามไปเพราะไม่อยากให้เกิดความยุ่งยากและเคารพในการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ จึงได้ตกลงใจฝากจอดจักรยานไว้ที่ฝั่งลาว และจับรถโดยสารข้ามไป
ขากลับออกมา ... ไปหยุดยืนอยู่ร้านปลอดภาษี และติ๋วก็พูดเสียงดังขึ้นมาว่า “ร้านอั้นภาษี” ดิฉันหันไปมองแล้วเราก็หัวเราะขำด้วยความน่ารักของภาษา
อั้นภาษี = ปลอดภาษี
ระหว่างยืนรอตรวจคนเข้าเมืองที่ด่าน... มีฝรั่งและญี่ปุ่นยืนอยู่ข้างหน้าเราสองสามคน เมื่อเกือบจะถึงคิว มีชาวเวียดนามวิ่งมาสามสี่คนลัดคิว หญิงสาวชาวญี่ปุ่นไปต่อหน้าต่อตา เจ้าหน้าที่ด้านลาวก็ไม่ได้ว่าอะไร นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นก็ได้แต่โวยวายแบบเงียบๆ เพราะดูท่าเธอจะพะวงกับข้าวของสัมภาระมากกว่าการโดนลัดคิวเสียอีก...
แต่ท้ายสุด....ของการเดินทางวันแรก เราเพียงเยี่ยมหน้าเข้าไปทักทาย “เวียงจันทร์” แล้วก็กลับเข้ามานอนที่หนองคาย รอพี่เอียดกับพี่รุ่งมาสมทบ
วันแรกฉันกับน้องติ๋วก็เลยพากันตะลอนทัวร์ในค่ำคืนที่หนองคาย...
เมื่อข้ามฝั่งกลับมาที่หนองคายก็มืดแล้ว เราก็ปั่นจักรยานมาตามเส้นทางเลียบฝั่งโขง ชี้มือไปที่เจดีย์...ที่มองเห็นแสงไฟลิบๆ... ก็เลยตกลงกันว่านั่นคือเป้าหมายของเรา ระหว่างทางที่ปั่นจักรยานไปนั้น บ้านเรือนเริ่มปิด จะมีก็เพียงแต่ร้านค้า และร้านอาหารที่นั่งกับพื้นริมโขง เมื่อไปถึง “พระธาตุเมืองหล้าหนอง” ที่เรามองเห็นลิบๆ เมื่อตอนอยู่สะพาน ได้เจอกับเด็กๆ สามสี่คนมานั่งพูดคุยด้วยและได้เล่าที่มาที่ไปของพระธาตุนี้ให้ฟัง
“พระธาตุเดิมอยู่กลางน้ำ ส่วนพระธาตุนี้จำลองขึ้นมา...”
เด็กน่ารัก พลัดกันเล่า แรกๆ ก็มีท่าทีเขิลอาย มีเจ้าตัวเล็กสุด ชิงเล่าก่อนพี่ๆ ก็เลยเล่าเสริมเป็นที่สนุกสนาน...ฉันนั่งเล่นพูดคุยกับเด็กๆ สักพักมีพี่เอียดโทรมา...นัดแนะจุดนัดหมายที่ร้านนม...ริมโขง
สไตล์เดิมของการพูดคุย...เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ...
พีเอียดเล่าว่า...ลื่นไถลก้นกระแทก...ขัดยอก คาดว่าจะปั่นจักรยานเข้าเวียงฯ ไม่ไหว(สำนวนคนลาวเรียกเวียงจันทร์ว่า “เวียง” เฉยๆ) เราก็เลยตัดสินใจใหม่ว่า พรุ่งนี้เช้าเราจะข้ามด่านตั้งแต่เช้า...และตรงไปที่วังเวียงเลย แล้วค่อยตะลอนด้วยจักรยานที่นั่นแทนที่จะปั่นไปเวียงจันทร์และพักค้างตามที่กำหนดเดิมแล้วค่อยไปต่อที่วังเวียง -----> แผนใหม่ของเราจึงมุ่งหน้าสู่วังเวียง... สร่างซาเทศกาลสงกรานต์แล้วจึงค่อยตัดสินใจกันใหม่ว่าจะไปต่อที่หลวงพระบางหรือไม่...
ค่ำคืน...ที่บ้านพี่นาง
สาวๆ ต่างพูดคุยเรื่องหนังสือ และนำมาอวดกันว่าใครหอบหิ้วเล่มไหนไปบ้าง... จริตที่คล้ายกัน คือ การอ่านหนังสือและผจญภัย...เราเลือกที่จะนอนห้องเดียวกันที่บ้านพี่นาง และตื่นมารับรุ่งอรุณเช้ามืด
11 เมษายน 2551
............................................