เสียดายครับ ไม่อยากให้จม เป็นเพียง "หนังตัวอย่าง" อยู่ใน บันทึกนี้ จึงขอนำมาฉายให้เห็นโจ่งแจ้ง ชัดๆอีกรอบครับ เชิญติดตามครับ
..................................
น้องบ่าว ธรรมาวุธ (น้องบ่าว = น้องชาย) จุดประกายให้ผมคิดด้วยการนำเสนอเรื่อง ของขลังบังของจริง จากคำสอนของหลวงปู่ชา สาระสำคัญมีอยู่ว่า ...
พระพุทธรูปก็เหมือนมีดคมๆ เล่มหนึ่ง หากเรานำไปใช้ประโยชน์มันก็เป็นประโยชน์มาก ถ้าเอาไปใช้ไม่เป็นก็ไม่เกิดประโยชน์
เรานับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้หมายถึงว่า ให้พระมาคุ้มครองเรา โดยมากคนไม่อยากปฏิบัติตามพระ ได้พระไปแล้วก็ขอให้พระมาคุ้มครอง ที่แท้ ท่านจะคุ้มครองเราก็เพราะเราปฏิบัติตามคำสอนของท่าน
คำสอนของท่านนั้นถูกต้องดีแล้วทุกอย่าง ถ้าเราทำ กาย วาจา ใจ ของเราให้ถูกต้องแล้ว ก็เป็นอันใช้ได้
ไม่ใช่ว่า มีพระแล้วจะไปทำชั่ว ทำเลวอะไรก็ได้ เพราะคิดว่าหลวงพ่อคุ้มครองเราอยู่ ไม่ใช่อย่างนั้น
สาระธรรมดังกล่าว กระตุ้นให้ความเชื่อ ความคิดของผมหลุดออกมา จากใจว่า .....
ศาสนาที่เป็นสากล ศาสนาแห่งเหตุผล อัจฉริยบุคคลอย่าง Albert Einstein ยังเคยบอกว่าคือ พระพุทธศาสนา
แต่คนนับถือพุทธที่ยังอยู่กับความ ไร้เหตุผล ช่างมีมากอย่างเหลือเชื่อ เหตุคงเพราะ พุทธ มาทีหลัง แต่ ผี มีอยู่ก่อนแล้วเป็นเจ้าเรือน จึงเป็น พุทธ+ผี กันอยู่ทั่วไป
ดูไม่ยากครับ เมื่อใดที่คนที่อ้างตัวว่าเป็นพุทธ แต่ยัง เรียกร้อง อ้อนวอน ขอรับผล โดยไม่จัดการ สร้างเหตุ อันสมควรแล้วล่ะก็ นั่นแหละครับ ใช่เลย "พุทธเทียม"
ความคิดของผมเกิดไปโดนใจน้องบ่าวเข้าอีก ถึงกับมาต่อยอด และสารภาพความจริงว่า ข้อคิดของผมนั้น "ถูกใจหนัดเหนียน" (หนัดเหนียน = อย่างมาก อย่างแรง เหลือประมาณ) ทั้งยังบอกว่า ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเคยปวารณาตัวเองว่าเป็นคนไม่มีศาสนา ครั้นผ่านมาหลายปี ศึกษาพุทธศาสนามากเข้า เกิดเห็นคุณค่า ถึงกับบ่นว่าอยากย้อนอดีตไปเขกกะบาลตัวเองสักพันครั้ง ให้สาสมกับการเป็น "หวักไม่รู้รสแกงพุงปลา" (หวัก = จวัก ทัพพี ladle แกงพุงปลา = แกงไตปลา )
นอกจากนั้น น้องบ่าว ยังต่อยอดออกไปอีกด้วยความจริงที่ว่า ...
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล ไม่บังคับคาดคั้นผู้ใด ใครทำใครได้ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ไม่รบราฆ่าฟันกับใคร...
ทั้งๆ ที่ชาวไทยเราได้ยินกันจนท่องขึ้นใจกับพุทธพจน์ที่ว่า
"ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" หรือ "เรามีกรรมเป็นของๆ ตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น"
พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ แล้วยังจะมาอ้อนวอนขออะไรกับใครอีก
น้องบ่าวคนเก่งของผมยังฝากทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดอีกว่า ...
" มันต้องเป็นหน้าที่ของเราๆ ท่านๆ ที่จะช่วยกันขับไล่ ผี ที่อยู่ในตัว พุทธเทียม เหล่านี้ออกไปให้หมด ให้เหลือแต่ พุทธะ ครับ "
สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบคุณค่ะอาจารย์ที่ช่วยกันหยิบยกเรื่องพุทธศาสนาของแท้มาให้ได้อ่านกันบ่อยๆ แม้ว่าปัญญาชนส่วนใหญ่ในบล็อกนี้ จะเข้าใจหลักการ แต่บางทีพูดอธิบายไม่เป็น การได้อ่านมากๆ อาจช่วยให้สามารถนำไปถ่ายทอดต่อได้ชัดเจน สามารถช่วยกันสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างน้อยกับคนในครอบครัว หรือพรินท์ไปเผยแพร่ต่อให้เพื่อนๆได้อ่าน โดยไม่ต้องพูดเอง จะได้ไม่ต้องขัดใจกันนะคะ
พุทธ แท้ อยู่ที่ "ใจ" หาใช่ วัตถุธาตุใดๆไม่...
และผมเชื่อว่าความมืดความสว่างเป็นของคู่กันและไม่เคยหมดไปเพียงแต่ว่ามันแย่งที่ว่างในใจคนเพื่อเหตุผลบางอย่าง ตราบเท่าที่ยังเป็นคนอยู่
สาธุ สาธุ สาธุ ครับพี่บ่าว
หนังเรื่องนี้ดูอย่างไรก็ไม่น่าเบื่อ ยิ่งดูยิ่งได้คิด ยิ่งดูยิ่งเกิดปัญญา
ขอบคุณครับ
ครับ พุทธแท้ คือ ตัวเรา ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน พูดอย่างนี้งงไม่ครับ อิอิ
สวัสดียามเช้าครับ
ขอบคุณครับคุณ หยดเทียน
เขียนแล้วผู้อ่านบอกว่าได้ประโยชน์ ก็เป็นกำลังเสริมอย่างดี ที่จะได้ทำหน้าที่ต่อไป ให้เข้าทางมากขึ้นครับ
อ่านแล้วทำให้สะท้อนภาพของคนในสังคมที่มักเรียกตัวเองว่าชาวพุทธ จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความหมายของชาวพุทธที่แท้จริง
ท่านอาจารย์นำเรื่องราวแบบนี้มาเล่าให้ฟังอีกนะค่ะ ลูกศิษย์ คนนี้นำบทความของอาจารย์ไปเล่าให้ครูที่โรงเรียนได้ฟัง ทำให้ได้บทสนทนาที่แปลกออกไป มีหลายแนวความคิด หลายความเห็น คุยแล้วก็เพลินดีค่ะ
ด้วยความยินดีครับ อ.นุ้ย
บ้านของผมอยู่ข้างวัดครับท่านอาจารย์มีกิจกรรมให้เช่าจตุครามรามเทพ และบางวันก็การแจกหรือให้เช่าตระกรุตจะมีชาวบ้านทั้งฐานะร่ำรวย(ดูจากรถยนต์ที่ขับมา)และยากจนมารับแจกหรือเช่าวัตถุมงคลเป็นจำนวนมากครับ ผมมองใน่แง่ของผมว่าชาวบ้านที่มานั้นเพราะ
1. อยากรวยโดยคิดว่าสิ่งนั้นจะดลบันดาลทำให้รวยได้โดยไม่ต้องทำงาน หรือหากทำงานก็จะประสบความสำเร็จทุกอย่าง
2. เพราะกลัวตายเพราะถ้ามีสิ่งที่ว่านั้นจะทำให้รอดจากสิ่งอันตรายต่าง ๆ ได้ เช่นเมื่อถูกคนฟันก็จะไม่เข้า เมื่อโดนยิงกระสุนก็จะไม่อกก หรือหากออกก็จะไม่ระคายผิวหนัง เป็นการกลัวตายที่เกิดจากคนอื่น ๆ กระทำ
2 ข้อดังกล่าวข้างต้นผมมองว่าเป็นเพราะความไม่เข้าใจว่า และขาดเหตุผล ซึ่งคนที่จะรวยและประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นจะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมที่เรียกว่าหลักแห่งความเจริญ คือ 1. ปฏิรูปเทสาสะ เลือกอยู่ถิ่นที่เหมาะ 2.สัปปุริสูปัสสยะ เสาะเสวนาคนดี 3. อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ถูกวิธี 4. ปุพเพกตปุญญตา มีทุนดีได้เตรียมไว้ และ อีกหลักหนึ่ง คือ อิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ทำตามหลักนี้ได้ก็รวยแล้ว
ส่วนการกลัวความตายนั้นเลิกกลัวได้ เพราะอย่างไรก็ตามอยู่ดี และให้เรียนรู้หลักอนิจจัง และถ้าอยากตายสวย ๆ ก็จงทำดีมีธรรมะ และไม่ต้องหาเครื่องรางของขลังป้องกันตัวเพราะความดีคือเครื่องป้องกันตัวที่ดีที่สุด พุทธแท้หรือพุทธเทียม ก็คงต้องคิดกันต่อไป ตามหลักเหตุและผลดังนี้แล