ซันซัน
นางสาว ทานตะวัน สุรเดชาสกุล

พบกับ ความหมายของชีวิต ในธรรมชาติที่ไร้การจัดวาง(ตอนที่2)...จบแล้วค่ะ


ทุกสิ่งในธรรมชาติ อะไรก็เกิดขึ้นได้ และเรา เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดังนั้น อะไรในเราและในชีวิตเราล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น


ต่อจากตอนที่แล้วนะคะ
เรื่องดำเนินมาถึงตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนจบค่ะ

หลังจากที่ได้บอกเพื่อนๆไปว่า กำลังจะมาถึงกิจกรรมที่สำคัญสุดๆๆๆๆๆ

คือ การปลีกวิเวกกกกกกกก...........   บรื๋อ บรื๋อ  บรื๋อ

อย่าเพิ่งตกใจนะคะ นี่ไม่ใช่การเล่าเรื่องผีค่ะ

การปลีกวิเวกกกกกกกกกกกกกกก คือ อะไร

 

การปลีกวิเวก คือ การอยู่กับตัวเอง
เพื่อภาวนา เพื่ออยู่กับธรรมชาติ
หลายคนอาจมีคำถามมาถามธรรมชาติ

 

ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร

ไม่ทานอาหาร (1 วัน กับ 1 มื้อ)  ดื่มได้แต่น้ำ

ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ของตนเอง (พื้นที่ที่ไม่มีใครเห็นและไม่เห็นใคร)

เป็นเวลา 2 คืน 1 วัน

และที่สำคัญไม่ทำลายธรรมชาติ

ก่อนเข้าปลีกวิเวกผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน
จะทำพิธีเพื่อให้ผืนป่าปกป้อง และแคล้วคลาดอันตราย

รวมทั้งให้เราตั้งจิต
ถึงสิ่งที่ต้องการมาภาวนา
หรือ ต้องการมาหาคำตอบจากธรรมชาติ

คืนแรกที่เข้าปลีกวิเวก

เราได้จุดธูปเทียน เพื่อ ขออนุญาต  ขอขมา
และ ขอให้พระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผืนป่า สิ่งมีชีวิต
ตลอดจนดวงวิญญาณที่สิงสถิต ช่วยคุ้มครอง ช่วงพลบค่ำ !!!!!

ขอบอกว่าได้ยินเสียงคนเดินไปมานอกเต็นท์
เกือบตลอด
แต่มองออกไปทีไร ก็ไม่เห็นคน และ ไม่เห็นสัตว์ใดๆๆ เดินด้วยง่ะ

และ ตอนมองเสียงก็เงียบทุกที
พอหันกลับมาในเต็นท์ เสียงเดินก็ดังอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยๆๆๆ บรื๋อ บรื๋อ บรื๋อ

จึงสวดกันไม่จบสักที สวดแล้วสวดอีก

เพื่อต้องการการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เพื่อให้หายกลัวอ่ะค่ะ

และแล้วเสียงเหล่านั้น..............
ก็.........หายไป

จากนั้นความมืดเข้าครอบงำแทน

เมื่อเริ่มเข้านอนในใจก็บังเกิดความกลัว ขึ้นมาอย่างประหลาด

ทั้งๆที่รู้ว่าที่แห่งนี้
น่าจะปลอดภัยเพียงพอ
จากการดูแลของชาวชนเผ่าปกาเกอญอ
และ คิดๆๆๆท่องๆๆๆ ว่า "ปลอดภัย ปลอดภัย ปลอดภัย"

แต่ในใจลึกๆ เมื่อต้องนอนคนเดียวกลางป่า

ก็อดจะรู้สึก กลัวไม่ได้
เพราะจิตเกิดไปนึกถึง
จะมีสัตว์เล็ดลอดมาหรือเปล่า จะมีคนไม่ดีหรือเปล่า???!!!

จึงเริ่มสวดมนต์นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ อีก

ความกลัวก็เริ่มคลายไปได้บ้าง
แต่ใจลึกๆไม่สงบลงดีนัก

จนจิตนึกได้ว่า เรานอนอยู่บนเสื่อที่แม่ซื้อให้(สำหรับการเข้าป่าครั้งนี้เลย) 

เมื่อจิตนึกได้ว่า “เรานอนบนเสื่อที่แม่ซื้อให้ ไม่มีอะไรทำอันตรายเราได้หรอก บนเสื่อของแม่ ด้วยความรักของแม่จะคุ้มครองเราได้” 

น่าแปลกมากๆๆๆ
ความอบอุ่นแล่นเข้าสู่หัวใจแทนที่ความกลัว

ความกลัวที่มีก็มลายหายไปสิ้น

พร้อมกับรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด 

และ หลับได้สนิทอุ่นใจทั้งคืนจนถึงเช้าๆสายๆ กันเลยทีเดียว

ด้วยความรักของแม่ ช่างมีพลังยิ่งใหญ่

และเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ศักดิ์สิทธิ์

ยิ่งกว่าสิ่งศักด์สิทธิ์ใดๆ ในหล้า
ทำให้จิตสงบลงได้ทันที
และหายกลัวเป็นปลิดทิ้ง อย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ

 

ช่วงกลางวันของการปลีกวิเวก
ซึ่งต้องอดอาหาร ดื่มน้ำได้อย่างเดียว

บ่ายๆจึงรู้สึกอ่อนเพลียมาก
ไม่มีเรี่ยวแรงจึงเอนตัวลงนอน ร่างแนบไปกับดิน
ตามองไปรอบๆผืนป่าอันกว้างใหญ่

 

พลังแห่งผืนป่าสัมผัสกับ
ทุกอณูในร่างกาย ในโสตประสาท และ ในจิตใจ

ตอนนั้นจิตได้คำตอบจากธรรมชาติว่า

ในป่าที่ไร้การจัดวาง
อะไรจะเกิด ก็เกิด
จะงอกออกมา ก็งอก
จะมี ก็มี
จะไม่มี ก็ไม่มี

ที่จริงทุกสิ่งที่เกิดในป่านั้น
คงมีเหตุที่มาที่ไปอยู่

แต่เราคงไม่สามารถหยั่งรู้ทั้งหมด

ทุกสิ่งในธรรมชาติ อะไรก็เกิดขึ้นได้

และเรา เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ดังนั้น อะไรในเราและในชีวิตเราล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น

ล้วนเป็นไปได้ แม้เราไม่อยากให้เป็น

และเป็นไปไม่ได้ แม้เราอยากให้เป็นใจจะขาด

ตามเหตุแห่งพลังธรรมชาติจัดสรร
ที่เราสุดจะหยั่งถึง

ดังนั้นไม่ต้องมาวิเคราะห์สาเหตุ
หาที่มาให้วุ่นวายไป

และ ถ้าวิ่งตามความอยากของตัวเองร่ำไป  จะ ผิดหวังได้ง่ายๆ

เพราะ สิ่งที่เราต้องการหลายครั้งฝืนกับ ความจริงที่เป็นอยู่

เรามักอยากให้เกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

หรือไม่อยากให้เกิดอย่างนั้นนี้
ดั่งใจเรานั้น

แต่ความจริงแห่งธรรมชาตินั้น

เป็นไป ดั่งใจเราทั้งหมดไม่ได้หรอก

เพราะ อะไรในป่า ในธรรมชาติ
จะเกิด ก็เกิด
อะไรจะไม่เกิด ก็ไม่เกิด

ไม่ได้ขึ้นกับความอยากของเราสักหน่อย

และตอนนั้น ทุกอณูในร่างกาย และ จิตใจ
 
สัมผัสได้กับพลังแห่งป่า พลังธรรมชาตินั้น
มหาศาลเหลือเกิน

พลังจากตัวเรา

เป็นแค่เศษๆๆๆๆๆ เสี้ยว เป็นหนึ่งในล้านๆๆๆๆๆส่วน
ของพลังธรรมชาติที่มีอยู่

ดังนั้นเราสามารถจัดสรรได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก

ธรรมชาติต่างหากที่จัดสรร

จัดสรรด้วยเหตุด้วยปัจจัยบางอย่าง
ที่เราหยั่งรู้ไปได้ไม่ทั้งหมด

ดังนั้นถ้าเราเฝ้าตอบสนองความต้องการของตนเอง
อย่างเอาเป็นเอาตาย
จนฝืนธรรมชาติ

เราจะพบกับความผิดหวัง ร้อนรนและเจ็บปวด

และในธรรมชาติทุกอย่างมีคุณค่าเท่าเทียมกัน

มันเป็นอย่างนั้นของมันเอง

ไม่มีอะไรไร้ค่ากว่าอะไร

ต้นไม้ทุกต้น สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในธรรมชาติ
ก็ ไม่มีอะไรมีค่ากว่าอะไร
และ ไม่มีอะไรด้อยค่ากว่าอะไร

ในธรรมชาติทุกอย่างล้วนมีความหมาย
และมีคุณค่าในตัวมันเอง

ไม่มีอะไรดีกว่า ไม่มีอะไรแย่กว่า

ไม่มีอะไรด้อยกว่าอะไร ไม่มีอะไรเหนือกว่าอะไร

ไม่มีอะไรถูก ไม่มีอะไรผิด

ที่จริงแล้วในธรรมชาติไร้เกณฑ์ตัดสิน

มีแต่มนุษย์ที่ให้เกณฑ์ไปตัดสิน นู่นนี่
เช่น
มองว่าต้นไม้นั้นดีกว่า เพราะมีประโยชน์กว่า
ดอกนี้สวยกว่าดอกนั้น เป็นต้น

จึงเกิดสะท้อนใจว่า
ดีกว่า แย่กว่า
มีค่า ไร้ค่า
เป็นมุมมอง 
เป็นเกณฑ์จากมนุษย์ที่ตัดสินนู่นนี่ไปทั่ว

ตัดสินแม้กระทั่งธรรมชาติ
ตัดสินมนุษย์ด้วยกัน
และมักตัดสินตัวเอง

เพียงว่าถูกใจเราหรือไม่ 

ถ้าถูกใจเราก็ตัดสินว่าดี มีค่า 

ถ้าไม่ถูกใจ เราก็ตัดสินว่าไม่ดี ไร้ค่า

 

ซึ่งที่จริงเป็นแค่มุมมองที่เรานำไปใส่ให้

แต่ขอบอกว่า
เกณฑ์ตัดสินเหล่านี้ มุมมองเหล่านี้
ยิ่งใหญ่นัก

ทรงอิทธิพลมากๆๆกับชีวิตคนๆหนึ่งได้
ทั้งต่อคนอื่นที่ถูกตัดสิน
เช่น ไอ้ฟักในเรื่องคำพิพากษา ของคุณ ชาติ กอบจิตติ

และโดยเฉพาะการตัดสินตัวเอง
เป็นคำพิพากษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยค่ะ

 

เช่นบางคนตัดสินตัวเองว่าไม่ดีพอ
ไม่ได้เรื่องๆ
หรือ ไม่เป็นที่รักได้

คนนั้นเหมือนถูกประทับตราไปแล้ว
(ที่แท้ประทับตราตัวเอง)

ว่าเราไม่ได้เรื่อง เราไม่ดีพอ ไม่มีใครรักเราได้

จนกลายเป็นคน

ความภาคภูมิใจในตัวเองต่ำ (low self esteem)
ขาดความมั่นใจ

และพร้อมจะกลายร่างเป็นอย่างนั้นไปเลยจริงๆๆ  !!!

มนุษย์หนอมนุษย์
ช่างตัดสินเหลือเกิน

เราด้วยอ่ะ

บางทีไม่ค่อยรู้ตัวซะด้วย 

 

ดังนั้นท่ามกลางธรรมชาติที่ไร้การจัดวาง

พลัง และ การสื่อสารจากธรรมชาติ

สอน อะไร มากมาย

ให้เห็นสัจธรรม

ให้เข้าใจธรรมชาติแห่งชีวิต

จึงทำให้ชีวิต สุก และ สุข ขึ้น ค่ะ

ทำให้ปล่อยวางมากขึ้น

ไม่เอาเป็นเอาตายกับชีวิตมากนัก

เพราะเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลกหรอก

แท้จริงเราแค่เป็นส่วนหนึ่ง ใน ล้านล้านล้าน……..ส่วน ของธรรมชาติของโลกใบนี้

มีบางอย่างที่เราจัดสรรได้  ก็จัดสรรไป
หลายอย่างที่เราจัดสรรไม่ได้ ก็ปล่อยไป

เพราะหลายครั้งเราได้แต่เฝ้าดู

ขอเพียงเราเฝ้าดูอย่างเข้าใจ

ยิ่งเข้าใจลึกซึ้ง มากเท่าไหร่

จิตใจจะพบกับความสงบ สว่าง
และ เกิดสมดุลแห่งชีวิตได้มากขึ้นเท่านั้น

ทำให้รู้สึกยอมรับตัวเองและผู้อื่นได้มากขึ้น

 สิ่งใดที่เคยรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ไม่ชอบใจตัวเอง
ก็วางลงได้
ว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ที่หลายๆอย่างไม่ได้ดังใจเรา

เพราะ หลายอย่างในตัวเราและในชีวิตเรา
เราจัดสรรไม่ได้

เป็นธรรมชาติจัดสรรมา 
เราได้แต่ดู รับรู้
ทำความเข้าใจ
และ ดูแล

และผู้อื่นที่เราเคยไม่ชอบเขา
หรือ ที่เขาไม่ชอบเรา

ทำให้ยอมรับเขาได้มากขึ้น เพราะเขาก็เหมือนเรา

เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติในโลกใบนี้เหมือนเรา
เขาจัดสรรชีวิตได้บางส่วน

และอีกหลายส่วนอยู่ภายใต้พลังธรรมชาติเหมือนเรา

และทำให้มองเห็น
ศักยภาพในตนเองมากขึ้น  

เกิดความไว้ใจตนเองมากขึ้น
เพราะด้วยพลังชีวิตของเราที่พา..........เราผ่านมาได้

และ หลังจากเข้าป่าปลีกวิเวก
ทำให้กลับมาชื่นชม ชีวิตประจำวันที่แสนดี๊ดี
ที่ตนเองมองข้ามมาตลอด

เช่น แค่ถึงเวลาปวดท้องแล้วมีห้องน้ำเข้า เป็นสิ่งที่วิเศษมากๆแล้ว

แค่เวลาหิวแล้วมีข้าวกิน นี่แหละคือความสุขสุดยอด

แค่กลางคืนมีที่นอนดีๆ นอนอุ่นได้ทั้งคืนและปลอดภัย
นั้นดีเหลือเกิน

รวมทั้งความรักของแม่ ของพ่อ
ที่บางครั้งมองข้ามไป
เพราะมีอยู่ตลอดเวลาแบบใกล้ๆๆๆตัว
 

เมื่ออยู่ห่างไกลไป

พบว่าที่แท้พลังแห่งรักจากพ่อแม่นั้นทรงคุณค่า
และยิ่งใหญ่เหลือเกิน


และ เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้อย่างมหัศจรรย์ที่สุด

และเชื่อเลยว่ายังมีอีกหลายๆอย่างในร่างกาย ในชีวิต
ที่ตอนนี้ยังมีอยู่นั้น เรายังมองข้ามคุณค่าอยู่
เช่น มีขาสองขา มีมือ มีผม มีเล็บ มีตา มี.................. นับไม่ถ้วน

ถ้ามีใครบอกว่าเรามีดีในตัวตั้งหลายๆอย่างแน่ะ
มีทั้งตา มีจมูก มีปาก มี ....

เราอาจฟังรู้สึกเฉยๆๆๆๆ งั้นๆๆเรื่อยๆๆๆ ไม่ได้ใส่ใจ ไม่เห็นค่า
เพราะ ใจมัวแต่ไปนึกถึงอย่างอื่นๆๆๆ อยากได้นู่นได้นี่อย่างอื่นๆ

แต่ว่าวันหนึ่งที่ต้องสูญเสียไป
จะพบว่ามีค่ามากมายแค่ไหน

และ สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดในส่วนของมนุษย์
เช่น การตัดสินคนอื่น หรือ ตัดสินตัวเอง
หรือ การวิ่งตามความอยากจนเหนื่อย จนเจ็บปวด
หรือ การคาดหวังคนอื่น หรือ การคาดหวังตัวเอง
หรือ .................
ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมชาติ ของ มนุษย์เหมือนกัน
ไม่มีถูก ไม่มีผิด เหมือนกัน


เนื่องจากมนุษย์ในเมือง
อยู่กับสิ่งประดิษฐ์แทบจะตลอดเวลา

ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน

อาจทำให้หลงลืมธรรมชาติ จึงไม่รู้จักธรรมชาติของธรรมชาติ

จนไม่เข้าใจความจริงแห่งธรรมชาติ(สัจจะ+ธรรมชาติ)

และอาจหลงลืมไปด้วยว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ 

ทำให้อยู่กับความคิด ภาพฝัน ตามวัตถุ ตามกระแส
ไม่ได้อยู่กับความจริงแบบธรรมชาติ ธรรมชาติ

 

เช่น อยากได้อะไร คิดว่าต้องได้
ไม่ได้ก็เสียใจ ฟูมฟาย  โกรธ พยายามเอาชนะมากๆๆ  ยอมรับไม่ได้ที่ต้องผิดหวัง

บางทีอาจเป็นเพราะเราอยู่กับ
แฟนตาซี (ภาพฝัน) ของตัวเองมากเกินไป

และ อาจจะอินมาก

จนหลงลืมไปว่านั่นเป็นภาพฝัน
เป็นแค่สิ่งที่เราอยากได้อยากมีนะ

ไม่ใช่ความเป็นจริง

และหารู้ไม่ว่า
ความเป็นจริงตามธรรมชาติ

จะเป็นไปได้อย่างไร
ว่าอะไรที่เราอยากได้ นั้น
เราต้องได้เสมอๆด้วยหรือ !!!!


ดังนั้นชีวิตที่มีโอกาสใกล้ชิดธรรมชาติที่ไร้การจัดวาง
จึงเป็นชีวิตที่มีโอกาสเข้าใจสัจธรรม(สัจจะ+ธรรมชาติ)

ความจริงแห่งธรรมชาติและชีวิต
เพราะมนุษย์ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

เมื่อมนุษย์ได้เข้าใกล้ เข้าใจธรรมชาติ
ทำให้มนุษย์ได้รู้จัก เข้าใจตนเองและชีวิตมากขึ้นไปด้วย

จึงเป็นวิถีแห่งการหยั่งรู้ตนเองและชีวิต
และนั่นคือวิถีแห่งการเติบโตทางจิตวิญญาณ

ธรรมชาติช่วยเยียวยาเราได้

หลายครั้งที่แผลในใจ ดีขึ้นอย่างประหลาด

เมื่อได้เข้าไปในธรรมชาติ
เช่น ไปเที่ยวธรรมชาติ ป่า ทะเล น้ำตก ภูเขา ฯลฯ

หลายคนกลับมาสดชื่นมากขึ้น พลังชีวิตเต็มเปี่ยมอีกครั้ง(เหมือนได้ไปชาจต์แบต)

และการได้เข้าใกล้ธรรมชาติของตัวเอง

ก็เยียวยาใจเราได้ดีเช่นกันอย่างที่บอกอ่ะค่ะ
ว่ามนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

การได้เฝ้าดู สังเกต ตัวเอง
ทั้งพฤติกรรม ความคิด ความรู้สึก
ความคาดหวัง ความปรารถนา ความอยาก
ไปเรื่อยๆๆ ๆๆๆๆๆๆๆ

ตามทันตัวเองเมื่อกำลังตัดสิน

ตามทันตัวเองเมื่อกำลังคาดหวัง

ตามทันตัวเองเมื่อกำลังอยากนู่นนี่

นั่นคือการได้เข้าใกล้ธรรมชาติเหมือนกันคือ ธรรมชาติของตัวเราเองไงคะ

ซึ่งเป็นธรรมชาติที่สำคัญที่สุด
ที่เราควรจะเข้าใจ

เพราะใกล้ชิดกับเราที่สุด
มีผลกับเราที่สุด

และเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล

เพราะหลายครั้งการที่เรารู้จักตัวเองมากขึ้น
นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต

ทำให้เราพบกับหนทาง สว่าง มากขึ้นค่ะ

 

 

มีกลอนมาฝากจากคุณ cloud ค่ะ

ธรรมชาติพาใจให้สงบ
ให้ค้นพบสัจธรรมในธรรมชาติ
ทุกสิ่งงอกหรือตายคล้ายมีที่มา
ผลิใบงามหรือร่วงโรยลาตามเวลาธรรมชาติให้มา

ธรรมชาติมีพลังอันแสนประหลาด
เราไม่อาจคาดสรรพสิ่งดั่งใจหวัง
ด้วยพลังธรรมชาติจัดสรรหลายๆสิ่งอนันต์
เราแค่เรียนรู้ทันตามธรรมชาติพาใจเย็น

หมายเลขบันทึก: 96110เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2007 11:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2012 15:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

ยาวมากครับ

         เป็นร่ายบทแห่งสภาวะว่าง   นะ   ผมว่า

         ในเวลาหนึ่ง จิตยอมรับในความจริงและโลกอันกว้างใหญ่   ตัวเรา  ความคิด วิญญาณ  เป็นส่วนหนึ่งและเล็กมาก เวลานั้นมันทำให้เราปล่อยวางได้จริงๆ ผมเคยรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน

         บันทึกสื่อดีมากอีกแล้วครับ 

         และคล้าย ๆ กับคำอธิบายของ อ.ประมวล เพ็งจันทร์ผู้ที่เดินจากเชียงใหม่ถึงสมุยและก็พบกับคำตอบทั้งหมดของชีวิตได้

          ข้าน้อย  ขอคารวะ โปรดชี้แนะด้วย

 ขอบคุณครับ
     รอค่อนข้างนานและก็ได้อ่านจุใจครับ  ทุกอย่างชัดเจนตามที่เล่า ขอสนับสนุนว่า .. แท้จริงแล้ว เราก็แค่ธุลีหนึ่งของจักรวาล .. จะอะไรกันนักหนา .. วางกฎเกณฑ์  วางเงื่อนไข  กันมากมาย  แต่หลายอย่างทำไปแล้วได้ทุกข์เป็นของตอบแทน .. ยิ่งปรุงแต่ง  ยิ่งไกลธรรมชาติ สุขแท้ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ
    ผมเขียน บันทึกนี้ ไว้นานแล้ว น่าจะพอเชื่อมโยงกันได้บ้าง

ทำใจให้เป็นธรรมชาติ และคิดถึงธรรมชาติของทุกสิ่ง อ่านแล้วเพลินดีครับ
  • การอยู่กับธรรมชาตินั้น
  • ทำให้เราเข้าใจตัวเราเองมากขึ้น
  • ปล่อยวางเงื่อนไขต่าง ๆ ของตัวเอง ถอดพันธนาการต่าง ๆ ของหัวใจ
  • ยินดีครับ ยินดี

หมอซันซันยิ่งเขียนยิ่งดีวันดีคืนนะครับ

ผมชอบมากครับ อ่านแล้วเห็นดวยทุกอย่าง แต่ละย่อหน้าล้วนมีความหมายความสำคัญในตัวเขาเอง ชอบครับ ชอบ

เขียนต่อไปเรื่อยๆ นะครับ ขอสมัครเป็นสมาชิกด้วยครับ

สวัสดีครับ

งานเขียนยาวมากครับ

แต่ก็มีอะไรออกมาเรื่อยๆ

น่าสนใจครับ

 

เรียน คุณซันซัน ที่นับถือ

   ผมกำลังศึกษาเรื่องแพลนเน็ตอยู่ครับ ขออนุญาตนำบล็อกคุณหมอ เข้าแพลนเน็ต เรื่องที่ชอบอ่านด้วยครับ

                                                 +ขอบคุณครับ+

สวัสดีค่ะ คุณซันซัน

  • ดิฉันชอบประโยคนี้ค่ะ "คนนั้นเหมือนถูกประทับตราไปแล้ว (ที่แท้ประทับตราตัวเอง)"
  • ถ้าตัดสินตัวเองไว้ว่าอย่างไร เราย่อมเป็นเช่นนั้น
  • ถ้าคิดว่าทำได้ เราจะทำได้
  • ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ เราจะทำไม่ได้
  • เหมือนเป็นการสะกดจิตของตัวเองไหมคะ อิอิ
  • คิดแล้วอยากจะชวนให้ดูหนังเรื่อง The Pursuit of Happiness ค่ะ ไม่รู้ได้ดูกันรึยังน้อ

คุณ mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง

สัจธรรมในธรรมชาติที่ไร้การจัดวาง

ช่วยทำให้เกิดการปล่อยวางได้อย่างมหัศจรรย์ค่ะ

ขอบคุณนะคะ ที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ค่ะ

นับถือ นับถือ เช่นกันค่ะ

 

คุณ นายนิรันดร์

ใช่ค่ะ อยู่กับธรรมชาติ ใกล้ธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติ

เข้าใจธรรมชาติ

ของทุกสิ่ง ของโลก ของตัวเรา ของใจเรา

สงบมั่นคงที่สุดค่ะ

ขอบคุณนะคะ ^+^

คุณ นายสายลม

การอยู่กับธรรมชาติ ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของตัวเราไปด้วยจริงๆค่ะ

ขอบคุณนะคะ ^+^

คุณ โรจน์

สุขที่แท้มาจากภายในจริงๆค่ะ

คุณ my_space

ขอบคุณนะคะที่ตามอ่านกันจนจบเลยค่ะ ^+^

 

คุณ Handy

ได้เข้าไปอ่านบันทึกนี้มาก ได้ข้อคิดที่ช่วยเตือนสติได้ดีค่ะ

นั่นสิคะ ยิ่งปรุงแต่ง ยิ่งยึดติด ยิ่งทุกข์เหลือเกินค่ะ

ขอบคุณอาจารย์มากๆนะคะ

สวัสดีค่ะ มาโนช

ขอบคุณอาจารย์มากๆนะคะ

ที่มาติดตามอ่านกันค่ะ

ปลื้มใจมากๆเลยนะคะ ^+^

คุณ goahead

ขอบคุณที่แนะนำบล๊อกนะคะ

คุณ นาย ณรงค์ เพ็ชรเส้ง

ยินดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ

คุณ อ.หนู

ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ

ว่าการสะกดจิตตัวเองจะมีมนต์ขลังได้ขนาดนี้

แต่เป็นจริงๆๆค่ะ

เนื่องจากเราได้แอบเลือกทางเดินให้ตัวเองไปแล้วโดยไม่รู้ตัวค่ะ

 อ.หนู ชวนดู The Pursuit of Happiness อย่างนี้พลาดไม่ได้อยู่แล้ว ค่ะ

ขอบคุณนะคะ

 

มีสีสันดีขึ้นมากครับ

เริ่มเรียนรู้ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่อายุขนาดนี้ วันข้างหน้าจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดี

เพลง เพราะมากเลย น้อง !

เพลงเพราะครับ..เพิ่งได้ฟัง เพราะคราวก่อน ไม่มีลำโพง แวะมาครับ
ขอบพระคุณ

คุณ หมอจิ้น

ขอบคุณมากเลยนะคะ หวังอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ ^+^

คุณ  นายนิรันดร์

ดีใจจังค่ะ ที่รู้สึกชอบเพลงนี้เหมือนกันค่ะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท