ผมทำงานวิจัยเรื่องความเสื่อมโทรมของระบบทรัพยากรดินในภาคอีสาน โดยการประสานงานร่วมกับนักวิจัยจากประเทศออสเตรเลีย และประเทศจีนที่เกาะไหหลำ
พบว่า ในระยะการใช้ประโยชน์ที่ดินเพียงไม่เกิน ๕๐ ปีมานี้ ทำให้ดินมีระดับความ “อุดม” เหลือเพียง ไม่เกิน ๒๐% ของดินที่ยังคงมีสภาพป่าเหลืออยู่ ทั้งนี้ยังไม่นับอินทรียวัตถุและอาหารสำรองในระบบพืชพรรณของป่า
และ ส่วนที่เหลือนี้เป็นส่วนเพียงแกนๆของดินที่เสื่อมลงช้าแล้ว จะทำไปอีกกี่ปีก็จะลดลงอีกไม่เร็วมากนัก เพราะแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว
การไถพรวนปรับที่ดินบ่อยๆ ทำให้ดินเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว
ระบบดินที่เสื่อมโทรมนี้จะให้ผลผลิตต่ำมาก และเกษตรกรทั่วไปก็ได้พึ่งระบบปุ๋ยเคมีกระตุ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นหลัก จึงจะยังให้ผลผลิตได้บ้าง
แม้การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เกษตรกรใช้อยู่ ก็จะให้ผลได้ในระยะสั้นๆเท่านั้น เพราะระบบดินอ่อนแอมาก และไม่มีการสำรองใดๆเหลืออยู่
การใช้ปุ๋ยใดๆจะมีประสิทธิภาพต่ำมาก และจะต่ำลงเรื่อยๆ เนื่องจากระบบสำรองถูกทำลายตลอดเวลาและทำให้ต้องใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรักษาระดับการผลิตให้เท่าเดิม
ที่นาจะเสื่อมช้าหน่อย ใช้เวลา ประมาณ ๓๐-๖๐ ปีเพราะมีระบบเติมให้จากตะกอนน้ำไหลลงมาทับถมในที่ลุ่ม
ที่ไร่ใช้เวลาเพียง ประมาณไม่เกิน ๕ ปี เพราะมีแต่ระบบไหลออกเป็นส่วนใหญ่
แต่เราก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะระบบทรัพยากรดินและที่ดินของภาคอีสานนั้น แม้จะเป็นระบบเปราะบางก็จริง แต่ก็แกร่งพอที่จะฟื้นคืนมาได้เร็วถ้าได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและถูกต้อง
การฟื้นตัวหลังจาก ๗ ปี ที่ถือในมือขุดมาจากแปลงต้นไม้ยืนต้น เทียบกับบริเวณที่ไม่ได้ปลูกพืช ศุนย์เรียนรู้พ่อคำเดื่อง ภาษี จังหวัดบุรีรัมย์
สภาพดินในแปลงเกษตรผสมผสานที่ได้รับการปรับปรุงมา ๑๐ ปี ที่ศูนย์เรียนรู้พ่อจันทร์ที ประทุมภา อำเภอชุมพวง นครราชสีมา
ดินเดิมที่เสื่อมโทรม ที่ไม่มีการปรับปรุง(ด้านซ้าย) และดินที่ปรับปรุงแล้ว ๑๐ ปี (ด้านขวา) ในระบบเกษตรผสมผสาน ของพ่อจันทร์ที ประทุมภา อำเภอชุมพวง นครราชสีมา
จากการศึกษาการฟื้นตัวของดิน พบว่า
ถ้าปล่อยตามธรรมชาติจะใช้เวลา ๑๐-๑๕ ปี
แต่ถ้ามีการดูแลบ้างจะฟื้นได้ในไม่เกิน ๕-๑๐ ปี
และถ้าดูแลอย่างใกล้ชิดจะฟื้นได้ในเวลา ๓-๕ ปี
เช่นในกรณีของเกษตรประณีตหนึ่งไร่ เป็นต้น
นี่คือเหตุผลที่เราจะต้องทำเกษตรกรรมแบบประณีตที่ใช้ ที่ดินน้อย น้ำน้อย แรงงานน้อย และทำทีละน้อย จากเล็กไปใหญ่
หลักการที่จะทำให้ดินและระบบทรัพยากรฟื้นตัวก็ได้แก่การสร้างระบบเบิกนำ ทางกายภาพ ชีวภาพ ระบบนิเวศน์ ระบบรายได้ และระบบสังคม
ที่ทำให้เกิดระบบนิเวศน์ทางทรัพยากร และสังคม ที่สมบูรณ์และสอดคล้องกัน
ฉะนั้น ระบบนิเวศน์จึงต้องกลับมา อย่างเป็นคำตอบสุดท้าย
จึงจะสามารถทำให้ระบบทรัพยากรเกษตรและสังคมที่เสื่อมโทรมไปกลับคืนมา ให้จงได้
เกษตรกร ชุมชน และประเทศชาติจึงจะรอดครับการส่งเสริมการเกษตรมีทางเลือกว่าจะใช้ปุ๋ยยี่ห้อไหน สูตรไหน เท่านั้น
การพัฒนาที่ดินก็เน้นการไถกลบฟาง ถางป่า
ชุดความรู้ที่ถูกต้องคงไม่มีเวลาคิด
ผมขอสรุปง่ายๆ ที่ไม่มีใครฟังว่า
"การเตรียมดินที่ดีที่สุดคือนอนอยู่บ้านเฉยๆ" ครับ
ระวังแต่อย่าให้ให้ใครไปแอบเผาเป็นใช้ได้ครับ
ถ้าจะเปลี่ยนจะมีแรงต้านในระบบการบริหารมากวิชาการไหมครับ
ท่านสิงห์ป่าสัก
คำพูดที่เสนอมาเป็นสิ่งที่ผมรอคอยมานานแล้ว ว่าควรจะทำอย่างไรกันดี
ผมพยายามเริ่มที่ระบบการศึกษาก็ได้บ้าง แต่พอผู้เรียนที่ไม่ชัดทางความคิด ไปเจอแรงต้านนิดหน่อยก็หยุด
ขนาดผมทำแปลงสาธิตก็ยังโดนแรงต้านหลายแนวมากเลย
เราคงได้แลกเปลี่ยนและหาแนวทางร่วมกันไปอีกนะครับ
ผมจะชูประเด็นนี้เรื่อยๆ เพราะเป็นแกนของปัญหาและทางออกที่เหลือ
นักวิชาการก็ยังคงติดหล่มอยู่ด้วย จึงต้องมีแนวรบกว้าง และค่อยๆทำครับ
ท่านสิงห์ป่าสัก
ผมอยากเห็นการใช้ความรู้ที่ทำให้เราอยู่ได้ พึ่งตนเองได้ครับ และลดการใช้ความรู้ที่เป็นพิษครับ