ตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น จะต้องพยายามพัฒนาวิธีคิดเพื่อให้มีระบบเศรษฐกิจพอประมาณ และมีเหตุผล จนสามารถทำให้พึ่งตนเองได้ มีความซื่อสัตย์สุจริต ขยัน อดทนที่จะนำไปสู่วิถีชีวิตที่มีความสุขและครอบครัวมีความสุข พอที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้
วิธีคิดเหล่านี้ ต้องมีการสร้างภูมิคุ้มกัน เตรียมรับผลกระทบ ปรับวิถีชีวิต และแนวคิดต่างๆ ให้สอดคล้องกันแต่ในทางปฏิบัติ ระบบเศรษฐกิจในภาคประชาชนปัจจุบัน ยังอยู่ในสภาพที่เปราะบาง และกลวงโบ๋ เหมือนไข่ที่มีแต่เปลือก ต้องพยายามประคับประคองไม่ให้เกิดการล่มสลาย เพราะการขาดความแกร่ง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกษตรกรและชาวบ้านโดยทั่วไป ไม่สามารถพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่พอเพียงได้ อันเนื่องมาจากปัญหาระบบเศรษฐกิจ ๕ ประการด้วยกัน ตั้งแต่การพัฒนาทรัพย์สินที่ทำให้กลายเป็นหนี้สิน ที่จำเป็นจะต้องมีนโยบายสนับสนุนอย่างถูกต้อง โดยอาศัยพื้นฐานของชีวิตที่ไม่มีความโลภ ระบบการพัฒนาที่มีภูมิคุ้มกันดังกล่าวข้างต้น
อันเนื่องมาจากระบบเศรษฐกิจที่มีอยู่ในชุมชนปัจจุบัน คือ
1. ระบบของใช้ประจำวัน ที่มีอยู่ ส่วนใหญ่เข้าไปสู่วงจรของการผ่อนรายเดือนหรือรายฤดู หรือรายปี ที่เป็นระบบการใช้เงินล่วงหน้า ที่ยังไม่สามารถหามาได้ แต่ก็ใช้ไปก่อน จึงทำให้มีภาระหนี้สินที่ต้องหาเงินมาเพื่ออุดช่องว่างเหล่านี้ให้ได้ทันเวลา
2. เมื่อระบบของใช้ต่างๆ อยู่ในภาวะเงินผ่อนแล้ว เงินที่ใช้อยู่ในทุกวัน ก็จะเริ่มขาดแคลน เพราะต้องนำไปผ่อนของที่ใช้เป็นรายงวดดังกล่าวข้างต้น ทำให้มีอาการชักหน้าไม่ถึงหลัง และจำเป็นต้องหาเงินมาใช้ ซึ่งอาจเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยสูง เป็นส่วนใหญ่ เท่าที่ทราบมีตั้งแต่ดอกเบี้ยร้อยละ ๕ ถึงร้อยละ ๒๐ ต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราที่ผิดกฎหมาย แต่ก็ยังแอบทำกันอยู่ วิธีการให้เงินกู้จะทำในรูปแบบที่ผู้กู้ไม่รู้ตัวว่าต้องใช้ดอกเบี้ยราคาแพง แต่ใช้ระบบการผ่อนรายวัน เป็นจำนวนเงินที่แน่นอน จนทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นการใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ซึ่งเป็นอุบายที่ชาญฉลาดของผู้ให้กู้ จนทำให้ผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ค่อยดีเข้าไปติดกับในระบบนี้มากมาย
3. เมื่อระบบเงินหมุนเวียนในครอบครัวไม่ค่อยมี ก็เข้าไปสู่วงจรการกู้เข้ามาลงทุน ซึ่งบางครั้งก็เป็นการกู้ลงทุนจริง ๆ แต่บางครั้งก็เป็นการกู้มาใช้บ้าง ลงทุนบ้าง ทำให้ภาระหนี้สินทบต้นขึ้นไปเรื่อยๆ ประเด็นนี้เป็นสาเหตุใหญ่ของการสูญเสียอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน และทรัพย์สินอื่นๆ และทำให้เข้าไปสู่วงจรของการเป็นหนี้ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นคนไร้ที่ทำกินในที่สุด
4. เมื่อเกษตรกรและชาวบ้านทั่วไป จำเป็นต้องพึ่งพาระบบธนาคาร ก็มีการพัฒนาระบบบัญชีเงินฝากเพื่อทำให้ดูเหมาะสมที่ธนาคารจะให้กู้ได้ เพราะฉะนั้นจะมีการทำให้บัญชีดูสวยงาม โดยการโยกเงินที่มีอยู่ไปมา ซึ่งอาจทำกันเป็นกลุ่ม หรือทำเป็นรายบุคคลก็แล้วแต่ จึงเป็นบัญชีธนาคารที่ทำขึ้นเพื่อการกู้ยืมมากกว่าการเป็นบัญชีเงินฝากจริง ๆ
5. เมื่อระบบการดำรงชีวิตอยู่ในภาวะติดลบ ก็จะทำให้มีการนำทรัพย์สินเข้าไปเป็นประกันเงินกู้ ซึ่งในที่สุดการถือครองต่างๆ จะมีแต่โดยพฤตินัยเท่านั้น แต่เจ้าของจริง ๆ ของทรัพย์สินเหล่านั้น กลับเป็นนายทุนเงินกู้ ทั้งที่เป็นส่วนของเอกชนหรือธนาคารต่างๆ
จากระบบเศรษฐกิจที่กลวงโบ๋ ทั้ง ๕ ประเด็นดังกล่าวข้างต้น ทำให้การพัฒนาระบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปได้ยาก อันเนื่องมาจากความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาหมุนแบบตัวเป็นเกลียว ก็ยังไม่ค่อยทันกับเงินที่ต้องใช้ ถึงแม้จะมีระบบเงินกู้เพิ่มเติมขึ้นในชุมชนก็เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าสั้น ๆ เท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานได้
ฉะนั้น แนวทางในการที่จะทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจพอเพียง จึงจำเป็นต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป หาทางอุดรูรั่วต่างๆ ให้ได้เสียก่อน โดยเฉพาะรายจ่ายฟุ่มเฟือย ทั้งหลายต้องลดลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจึงจะค่อย ๆ มีเงินเหลือพอที่จะนำไปล้างหนี้สินที่มีอยู่เดิมให้เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ จนสามารถพัฒนาขึ้นเป็นทรัพย์สินได้
จุดแตกหักของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจพอเพียงนี้ จึงอยู่ที่ การเปลี่ยนวิธีคิด ลดกิเลส ทำความเข้าใจตนเอง ตัดวงจรชีวิตตัวเองออกจากความฟุ้งเฟ้อและความหลงระเริงไปกับกระแสเศรษฐกิจให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงจะมีโอกาสสำเร็จอย่างแท้จริง
จากประสบการณ์การทำงานกับชุมชน พบว่า เกษตรกรรายที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ก็คือ คนที่มีจิตแบบสันโดษ แยกตัวเองออกจากสังคมได้อย่างไม่สนใจคำครหานินทา จนกระทั่งพัฒนาชีวิตตัวเองได้แล้วจึงกลับเข้าสู่สังคมอีกครั้งหนึ่ง ในฐานะผู้กระทำการปฏิวัติตัวเองได้สำเร็จ
เพราะฉะนั้น จุดวิกฤติที่สำคัญ จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในขณะที่เขาหันออกจากระบบเศรษฐกิจกระแสหลัก เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะต้องต่อสู้กับทั้งตนเอง ครอบครัว และสังคมรอบข้าง เมื่อผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้แล้ว ก็สามารถเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในบางครั้งต้องอาศัยความสามารถในการคาดการณ์ที่ถูกต้อง ว่าควรจะปรับตัวอย่างไร ในเรื่องใด จังหวะไหน จึงทำให้บางคนทำสำเร็จได้เร็ว บางคนก็ใช้เวลามาก และบางคนก็ยังทำไม่สำเร็จ
ฉะนั้น ทางเลือกที่สำคัญก็คือ การทำงานแบบคู่ขนาน เพื่อการสร้างเงินหมุนเวียนไปในขณะเดียวกันกับการสร้างระบบความหลากหลายเพื่อเตรียมรับผลกระทบต่างๆ ไปพร้อม ๆ กัน ก็จะเป็นลู่ทางที่ทำให้สำเร็จได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น ประเด็นสำคัญในเชิงนโยบาย จึงต้องสนับสนุนการพัฒนาการปรับเปลี่ยนนี้อย่างจริงจังและชัดเจน สิ่งที่ทำมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเงินล้าน หรือเงินทุนหมุนเวียนใด ๆ ก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่แล้วล้มเหลว
ยกเว้นเฉพาะครัวเรือนที่มีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วเท่านั้น จึงสามารถรับผลประโยชน์จากโครงการเหล่านั้นได้
แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นการซ้ำเติม ทำให้สถานการณ์รุนแรงมากกว่าเดิม
ซึ่งข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ
การทำเศรษฐกิจพอเพียงภายใต้กระแสเศรษฐกิจกระแสบริโภคนิยมไม่ใช่เรื่องง่าย นับตั้งแต่
1 นโยบายรัฐทิ้งน้ำหนักไปทางไหน
2 โครงสร้างสังคม คนชั้นกลาง-สูง (มีกำลังซื้อ) คนชั้นล่าง ไม่มีกำลังซื้อแต่ต้องซื้อด้วยภาวะจำยอม เป็นกำแพงสูงที่ขวางกั้น
3 ค่านิยมสังคม ปลื้มกับกระแสเสมือนจริง
4 ระบบชีวิต สร้างวงจรใหม่ แดกด่วน เร่งรีบ ไม่ฉุกคิด
5 ระบบรองรับไม่ชัดเจน
6 เศรษฐกิจพอเพียงเกิดจากการปฏิบัติ ไม่ใช่การพูด
7 ตัวเอื้อให้เกิดให้เห็นดีด้วย ยังไม่มีพลังเท่าที่ควร
8 ระบบนี้ในอนาคตอาจจะต้องปรับยุทธศาสตร์ให้คนเข้าใจง่าย ปฏิบัติตามง่าย บางคนเข้าใจและเห็นดีด้วย แต่ชีวิตถลำไปกับกระแสหลัก จะถอนตัวยาก เพราะมันซึมซับเข้าไปในเลือดเนื้อไม่ต่างกับยาเสพติด มันสึกเข้าไปๆๆ-ความเคยชิน--เข้าไปเป็นสันดาน ไม่ยอมคิด ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม และระบบคิด ยากที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการเสพติดครับ
ตอนนี้เราเสพติดแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะความฟุ้งเฟ้อ
ตัวชี้วัดอันหนึ่งคือร้านให้เช่าชุดแต่งงานมีทุกมุมถนน ทำไมไม่ใช้ชุดสวยงามปกติมีมากมาย
ผมเคยไปงานหนึ่งแต่งงานแบบชาวบ้านเลี้ยงกันบนลานดินหน้าบ้าน แต่แต่งชุดขาวลากพื้น ไม่รู้เอาแนวคิดมาจากไหน
ไม่รู้ยาขนานไหนจะช่วยได้ครับ
ผมคิดตามไม่ทันครับท่านขุนพล
ช่วยขยายความด้วยครับ
ขอบคุณครับท่านสิงห์ป่าสัก
ผมก็อยากเห็นทุกคนเอาจริงกับการแก้ปัญหาของชาติอย่างประสานงานกัน
ต่างคนต่างทำจะสร้างความเสียหายซะมากกว่าได้ผลครับ
เรียน...ท่านผู้อาวุโส
ตอนน้ีเมืองไทยเราเปลี่ยนไปมากรับวัฒนธรรม ของชาวต่างชาติมาเยอะ ไม่เฉพาะแต่ในเขตเมือง หรอกครับ ตอนน้ีมันลามเข้าสู่เขตชนบทและเริ่ม ฝังตัวแล้วครับ...
คนรวยก็รับวัฒนธรรมจากต่างชาติเข้ามาตาม แบบของคนรวย แต่ที่ร้ายก็คือ คนจน ก็พยายาม ที่จะรับเข้ามาให้เหมือนคนรวยด้วยนี่สิครับแย่... มันเริ่มแย่ตั้งแต่คิดจะรับเข้ามาแล้ว คำว่า เศรษฐกิจแบบพอเพียง จึงใช้ไม่ค่อยได้ผล บางครั้ง จำเป็นหรือไม่จำเป็นไม่รู้ เอาให้เหมือนเพื่อนไว้ก่อน น้อยหน้าไม่ได้ เช่นตอนน้ีในงานแต่งงาน เราจะเห็น วัฒนธรรมที่หลากหลายซึ่งล้วนแล้วแต่ เกินความ พอเพียงทั้งสิ้น เช่น
เห็นมั๊ยครับว่ามันเกินความพอเพียงขนาดใหน ผิดกับสมัยก่อนที่ทำแบบพออยู่ พอกิน พอเป็นพิธี พอดีๆ
ด้วยความเคารพ
ครูราญเมืองคอน คนนอกระบบ