โสภณ เปียสนิท
...............................................
วันเวลาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง กลืนกินสรรพสิ่งอย่างไม่ปรานี ทุกอย่างเสมอภาคเหมือนกันหมด นี่คือความเท่าเทียมยุติธรรม คุณจะพอใจหรือไม่พอใจ เขาก็เป็นอยู่อย่างนี้นิจนิรันดร์ ชีวิตของคนและสรรพสัตว์อยู่ใต้กฏเกณฑ์เดียวกัน คือธรรมชาติ เหมือนไม่ปรานี แต่ก็ไม่โหดร้ายในท่าที เป็นไปแบบธรรมดา มิใช่แค่เพียงคนสัตว์เท่านั้นที่เผชิญหน้ากับกฏเกณฑ์นี้ แม้สิ่งอื่นๆ รอบตัวก็อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ต้นไม้ สายน้ำ สายลมแสงแดด ฯลฯ
คนและสัตว์ต่างคงอยู่ในภาพเดิมไม่ได้ โชคดีอย่างยิ่งที่ประเทศไทยของเรายังมี “พระพุทธศาสนา” ศาสนาแห่งสันติสุขอย่างแท้จริง มีคำสอน 84000 พระธรรมขันธ์ (กอง) ไว้ให้คนไทยรุ่นเราได้ศึกษา ปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ ยุคของเราถือว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ครบถ้วน ให้เราได้เรียนรู้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าได้อย่างเต็มที่ ขึ้นอยู่ที่เราว่าต้องการศึกษาเรียนรู้หรือไม่
เขียนถึงตรงนี้ นึกถึงนิทานชาดกที่เล่าเรื่องกวางหนีนายพราน เรื่องมีอยู่ว่า กวางน้อยตัวหนึ่งหลบหนีนายพรานจนเหน็ดเหนื่อย จึงวิ่งเข้าไปหลบอาศัยในพุ่มไม้ใบบังหนาทึบ นายพรานวิ่งไล่ตามหลังมามองไม่เห็นจึงวิ่งไล่ไปข้างหน้า กวางน้อยเห็นว่านายพรานไปแล้ว จึงเล็มใบไม้รอบตัวอย่างมีความสุข ไม่นานนักใบไม้หนารอบตัวน้อยลง ครู่เดียวนายพรานย้อนกลับมาทางเดิม เพราะไม่เห็นรอยของกวางวิ่งไปข้างหน้า มองผ่านช่องที่กวางน้อยเล็มกัดกิน เห็นกวางหลบอยู่จึงยิ่งกวางน้อยจนล้มลง ก่อนสิ้นใจกวางน้อยรู้สึกสำนึกในใจว่า “เราอาศัยพุ่มไม้ใบบังหลบซ่อนจึงปลอดภัย มีความสุขอยู่ได้ แต่เพราะเรากัดกินใบไม้เหล่านั้น นายพรานจึงเห็นเราและยิ่งเรา การไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่มีบุญคุณต่อเรา ย่อมทำให้เราเองบาดเจ็บถึงชีวิต”
ชีวิตของเราในประเทศไทยมีความสุขสงบร่มเย็นมานาน เพราะบารมีขององค์ธรรมิกราช พระราชาผู้ทรงธรรมเช่นในหลวง รัชกาลที่9 และย้อนกลับไปถึงบูรพมหากษัตริย์ในอดีตที่ผ่านมา ที่อุทิศพระองค์รับเอาพระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศไทย ทรงรักษาทำนุบำรุงไว้อย่างดี เหมือนทรงปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้ให้ลูกหลานไทยได้พักอาศัยใต้ร่มเงาอยู่สุขสบาย บัดนี้สายธารแห่งกาลเวลาเปลี่ยนไปจนคนไทยรุ่นลูกหลานปัจจุบันมองเห็นคุณค่าของต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นน้อยลงไปทุกที
ผมเองมองเห็นเรื่องราวและความเป็นไปอยู่ด้วยความสำนึกในบุญคุณพระศาสนาด้วยความเอาใจใส่ไตร่ตรองพินิจพิจารณา จึงเห็นความแปลกแยกแผกผิดปกติเหมือนมีอันตรายเกิดขึ้นกับไม้ใหญ่ต้นนั้นทีละน้อย หลายรูปแบบหลายด้าน ขณะที่คนคอยระมัดระวังตรวจตราดูแลกลับหย่อนยานการดูแลรักษา
มองเห็นปลวกค่อยๆ และมอดไม้กำลังกัดกินต้นไม้ใหญ่รอบๆ ด้าน ด้วยมีขบวนการโพสต์ด้านร้ายๆ ของพระศาสนาวนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม้ใหญ่กิ่งก้านสาขาเยอะมาก จึงมีช่องว่างที่ผู้ดูแลตรวจตราไม่ถึงมีมาก ดังนั้นมอดและปลวกที่กัดกินอยู่จึงทำงานอย่างได้ผลทีละน้อย บุญคุณของไม้ใหญ่ต้นนั้นจึงค่อยๆ จางหายไปจากสำนึกรับรู้ของผู้ที่อาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงา เห็นผู้อาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาเหล่านั้นจำนวนหนึ่งแม้รู้เห็นว่าปลวกมอดเหล่านั้นกำลังทำลาย แต่ก็ไม่เห็นโทษเห็นภัยปล่อยให้มีการกัดแทะทำลายต่อไปเรื่อยๆ
มองเห็นคนนอกร่มเงาไม้ใหญ่ เห็นความร่มเย็นเป็นสุขจึงพยายามหากลวิธีทำทีเข้ามาปลูกต้นไม้ใหญ่แต่มีพิษภัยอันตรายซุกซ่อนอยู่ภายใต้ร่มเงานั้น ลิดรอนกิ่งก้านไม้ใหญ่ต้นเดิมอย่างแนบเนียนทีละนิดทีละน้อย ส่งคนนอกร่มไม้ใหญ่เหล่านั้นเข้าครอบครองด้วยยุทธวิธีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการครอบงำด้วยสตรี ครอบงำด้วยเงิน ครอบงำด้วยอำนาจ และครอบงำด้วยการผลิตพลเมืองให้เพิ่มปริมาณขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด ขณะที่คนเก่าที่มีอยู่เดิมติดสุขเพลิดเพลินพอใจความเป็นไปแบบเก่า และคิดว่าความสุขเหล่านั้นจะจีรังยั่งยืนอยู่เองโดยไม่ต้องสงวนรักษาดูแล
ด้วยวัยใกล้เกษียณทำให้ทัศนะการมองแง่มุมของชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิม วัยเด็กมีชีวิตอยู่ตามชนบทในเมืองกาญจนบุรี ออกจากบ้านเกิดเมื่อชีวิตเดินตามกาลเวลาได้ 14 ปี ทำให้รู้เรื่องราวรอบตัวในชนบทห่างไกลความเจริญ แรกๆ อยู่ห่างจากบ้านราว 40 กิโลเมตร แล้วค่อยขยับไกลออกไปเรื่อยๆ เมื่ออายุ 20 ปี เดินทางต่อไปถึงเมืองกรุงเทพฯ เรียนรู้วิถีชีวิตของคนเมืองกรุง ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากชาวชนบท อายุ 30 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย กลับมาถึงเมืองไทยก็ไม่ได้กลับบ้าน มาอยู่เมืองหัวหินแทน มุมมองของคนที่เดินทางไปในที่ต่างๆ ย่อมต่างจากคนที่ไม่เคยเดินทางไปต่างถิ่นต่างแดน ด้วยวัยที่ก้าวเดินสู่วาระสุดท้ายของชีวิต ย่อมต้องมองสิ่งเหล่านั้นแปลกเปลี่ยน
มองว่า ธรรม คำสั่งของสมเด็จพระชินวรณ์สัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นความจริงแท้ ถูกต้องเที่ยงตรงตามกฎแห่งไตรลักษณ์ อนิจจัง ไม่เที่ยงแปรปรวนไปตามกาลเวลา ทุกขัง เป็นทุกข์ไม่จีรัง อนัตตามิใช่ตัวตน ยึดถือไม่ได้ เห็นได้จากตัวตนของเราเอง เมื่อก่อนเป็นเด็กเล็กแล้วค่อยๆ เติบโตเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของชีวิต จากการศึกษาหาความรู้จากห้องเรียน จากชีวิตจริง จากหลักธรรมของศาสนาที่เคารพนับถือ
เห็นภูเขาแมกไม้สายธารสายลม ค่อยๆ เปลี่ยนไป ร่างกายของตัวเราเองกลายเป็นผู้ใหญ่วัยชรา สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นร่วมจากธาตุสี่ ดินน้ำลมไฟ ส่วนที่เป็นของแข็งในร่างกายทั้งหมดเป็นส่วนที่มาจากดิน และจะกลับคืนสู่ดินเช่นเดิมดั่งที่เคยเป็น ส่วนที่เป็นของเหลวในร่างกายเรามาจากธาตุน้ำ น้ำเลือดน้ำหนอง น้ำลายกลับกลายไปรวมอยู่กับน้ำ ลมในร่างกายลมในกระเพาะ ลมในลำไส้ ลมหายใจกลับไปรวมกับลม ส่วนที่เป็นอุณหภูมิความอบอุ่นความร้อนภายในร่างกายของเราจักกลับคืนสู่ความร้อนในธรรมชาติ หลังจากชีวิตของเราสิ้นลง สังขารนี้จึงมีลักษณะตามไตรลักษณ์ดั่งที่เอ่ยไว้แล้ว
ภูเขาแม้จะดูว่า ทรหดอดทนจีรังยั่งยืน เพราะอยู่ได้ยาวนานกว่าชีวิตของคนด้วยซ้ำ แต่ว่าก็ยังไม่อาจคงทนอยู่ได้ตลอดไป ต่างค่อยๆ เปลี่ยนแปรไปจากสูงใหญ่ค่อยเตี้ยลง จากหินก้อนใหญ่กลายเป็นหินก้อนเล็ก กลายเป็นทราย กลายเป็นดินไปในที่สุดต้นไม้ใหญ่โต แม้นไม่มีใครตัดไปแปรสภาพไปเป็นบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างก็แก่ตายไปเอง ค่อยๆ ย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติกลายเป็นอินทรียวัตถุบำรุงไม้ต้นอื่นๆ ต่อไป สายน้ำใหญ่เคยไหลรินหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต บางแห่งกลายเป็นสายน้ำเล็ก กลายเป็นทางน้ำแห้งแล้งมีน้ำบ้างไม่มีน้ำบ้าง สุดท้ายก็หายไปกลายเป็นอย่างอื่น ทะเลกว้างใหญ่ไพศาลมองไม่เห็นฝั่ง น้ำถูกความร้อนระเหยลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นเมฆใหญ่ลอยไปมาบนฟ้า ไม่นานก็รวมตัวกันกลายเป็นสายฝนตกลงสู่เมทนีดลอย่างที่เคยเป็น แตกกระสานซ่านกระเซ็นเป็นน้ำหล่อเลี้ยงดิน แม้สายลมเคยหนาวเย็นก็อาจกลับกลายเป็นลมร้อน พัดแล้วก็หยุด หยุดแล้วก็พัดอีกสลับกันไปมาเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปของสรรพสิ่ง ชีวิตก็เป็นเหมือนเช่นนี้ ใครคิดเรื่องนี้ ผู้นั้นถือว่ามีปัญญาเข้าใจหลักแห่งความเป็นจริง ไม่ฝืนกฎธรรมชาติ ทำตนเหมือนต้นหลิวลู่ลม ไม่ใหญ่บ้างต้นแข็งแกร่งหักโค่นลงเพราะการแข็งขืนไม่ยอม แต่ต้นหลิวหรือต้นไผ่ต่างพากันลู่ลมดำรงอยู่ได้แม้ในสายลมแรงปานใดก็ตาม การเข้าใจกฎธรรมดา กฎธรรมชาติ ทำตัวตามธรรมชาติจึงถือว่าเป็นผู้มีปัญญาเข้าใจความจริงของสรรพสิ่ง เข้าใจชีวิต
ผมปลูกต้นมะขามจากเมล็ดเล็กๆ โยนลงไปบนดินหลังบ้าน รดน้ำไว้เสมอ ไม่นานเม็ดมะขามก็แตกออกสีแดงเข้มที่เปลือกเผยออกให้เห็นสีเขียวอ่อนภายใน มีปุ่มสีขาวนวลเกิดขึ้นในเม็ดนั้น แล้วแตกตุ่มเป็นลำต้นเล็กๆ ขึ้นสูงทีละน้อย แตกใบเลี้ยงคู่ออกมาทีละใบสองใบสามใบสี่ใบ หลายเดือนผ่านไปกลายเป็นต้นมะขามที่เจริญเติบโตได้อย่างมั่นคง อีกไม่นานจะกลายเป็นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาให้ผลข้างหลังบ้าน อีกนานเท่าใดไม่รู้กว่าต้นมะขามนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปและกลับคืนสู่ธาตุดินเช่นเดิม
ผมใกล้วัยเกษียณเข้าไปทุกที จึงพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งรอบตัว อยู่เมืองหัวหินอาจเข้าใจธรรมชาติได้บ้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าการได้เดินทางกลับบ้านเล็กในป่าใหญ่แถวชายเขตแดนอำเภอเมือง กาญจนบุรี ติดต่ออำเภอศรีสวัสดิ์ ผมใช้เวลายามเช้าเดินเยี่ยมชมต้นไม้น้อยใหญ่ในบริเวณไร่ที่เป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมเจริญเติบโตมานานหลายปีด้วยตนเองตามธรรมชาติ และพันธุ์ไม้ที่ผมต้องการให้มีขึ้นในที่ดินของผมเอง เช่นต้นมะขาม ต้นขี้เหล็ก ต้นมะละกอ พืชผักสวนครัวอีกนานาชนิด พืชหัวใต้ดินผมก็ปลูกไว้ตามหลักการเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชการที่ 9 ทรงสั่งสอนไว้ ให้ “กินทุกอย่างที่ปลูก และปลูกทุกอย่างที่กิน” แม้จะยังไม่ครบตามนี้ก็อย่างน้อยก็ได้หลายชนิดหลายพันธุ์แล้ว และกำลังดำเนินการตามนี้ให้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น บางต้นทนความแห้งเล้งเพราะฝนทิ้งช่วงไม่ได้ก็ทยอยตาย บางต้นยังทรหดอดทนยืนต้นรอฝนรอฟ้าอย่างทระนง ไม่ยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ ผมพยายามเอาใจช่วย ด้วยการรดน้ำพรวนดินบ้างในบางครั้ง บางต้น แต่อาจไม่ทั่วถึง ต้นไหนตายก็หาต้นใหม่มาปลูก ต้นไหนรอดก็รดน้ำนิดหน่อย ที่ไหนยังไม่มีก็ปลูกเพิ่มเท่าที่จะทำได้
วันที่ฝนตกผมใช้เวลายามเช้ายืนหน้าบ้านมองแสงทองส่องประกายที่ปลายขอบฟ้าทิศตะวันออก บางครั้งมืดมิดเหมือนบางคราวของชีวิต บางครั้งสว่างเรืองแม้ในสายฝนโปรยปราย น้อยครั้งที่จะได้เห็นแสงอาทิตย์ส่องในวันที่ฝนปรอย เมื่อยก็หาเก้าอี้มานั่ง หิวก็จิบกาแฟบ้างน้ำมะนาวบ้าง ปล่อยความคิดและจินตนาการให้ล่องลอยไปกับหลักการต่างๆ ทางพระศาสนา และเรื่องอื่นๆ ทั้งบวกและลบ คิดทางบวกความรู้สึกก็สงบเย็น คิดทางลบความรู้สึกก็เดือดร้อน “รู้เย็น รู้ร้อน” จึงเป็นเรื่องของจิตใจของเราเองที่เป็นผู้เลือกทางที่เราจะก้าวไป ที่จะพาชีวิตของเราไป คิดถึงกวีบทหนึ่งที่จำไว้ได้ว่า “สุขทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์มิสุกใส ถ้าไม่ถือก็เป็นสุขมิทุกข์ใจ เราอยากได้ความทุกข์หรือสุขนา” คิดดูก็เห็นจริงตามที่ท่านเขียนไว้ จะขอบคุณคนเขียนก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน ขอขอบคุณฝากไปทางนี้เลยแล้วกัน
อีกไม่นานกาลเวลาและความเปลี่ยนแปลงที่เคยพาผมจากบ้านป่าท่ามะนาวไปไกลแสนไกลจักได้พาผมกลับคืนสู่ความเป็นคนเมืองกาญจน์สู่บ้านเล็กในป่าใหญ่ชายขอบอำเภอเมืองที่ผมเตรียมไว้เพื่อชีวิตทีเหลืออยู่บนโลกใบนี้ด้วยตนเอง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจากลาโลกนี้ไปอย่างเข้าใจตามหลักการของชีวิต
-สวัสดีครับอาจารย์
-ผมอ่านบันทึกนี้ด้วยใจอันอบอุ่นไปด้วยสัจธรรม
-ธรรมชาติสร้างสิ่งต่างๆ การได้เรียนรู้ผ่านสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ของสิ่งต่างๆ รอบตัวเราทำให้ใจเป็นอิสระ
-มีความรู้สึกด้วยตนเองในหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นรอบกาย
-บทสรุปของชีวิต ณ เพลานี้ คือ"สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ"ขอรับ
-ตั้งรับการเหตุที่จักเกิดขึ้น มิหวังยินดี ในสิ่งที่ผ่านเข้ามาให้มากนัก
-ด้วยความเคารพอาจารย์ หวังใจว่าหากมีโอกาสคงได้พบอาจารย์เพื่อเสวนา และร่วมเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของ"ครู"บ้างนะขอรับ..
เป็นการวางแผนชีวิตที่ดี ค่ะ
ผมเขียนบทกวี ผงดิน โพสลงบันทึก
มาอ่านบันทึกนี้ของอาจารย์
รลุ่มลึกมาก จนรู้สึกเย็นใจ
ขณะบทกวีของผมยังกรุ่นๆอยู่เลย
โชคดีได้..เลิกอาชีพ..ก่อนอายุขัย..เจ้าค่ะ..เจอคำว่า "อัตตาและอนัตตา"..นะเจ้าคะ..อะไรๆที่ทำไว้ แม้เขาจะสร้างหลักประกันหลอกๆไว้..ที่จริงก็เอาไปไม่ได้ สักอย่างเดียว..อิอิ..ก็เพ้อฝันกันไป..นะเจ้าคะ..
ช่วงนี้ คุณมะเดื่ออยู่ในสภาวะที่...มึน ๆ งง ๆ กับชีวิต
ต้องคิดแต่ปัจจุบัน ณ วันนี้ ไปวันต่อวัน
ยังไม่รู้ว่า วันพรุ่ง....จะเป็นอย่างไร
สถานการณ์มันเฉพาะกิจ...จริง ๆ
เป็นนักอ่านที่ละเอียดทีเดียวครับ
ครับผม คงได้พบกันสักวัน
ก้าวไปสู่การพัฒนาจิตตามหลักการพระพุทธศาสนาให้ได้นะครับ
ตามหลัก สิ่งที่ได้มาโดยยาก
ขอบคุณ ดร เปิ้ล ที่แวะเวียนมาทักทายกันประจำ
ครับผม ยินดีที่ได้เพื่อนร่วมทางเดินบนโลกใบเดียวกัน
เส้นทางแห่งธรรมย่อมไปทางเดียวกัน
เส้นทางแห่งความคิดหลากหลาย
ความแตกต่างมีมาก
ความเหมือนมีน้อย
บทกวีและร้อยแก้ว
ต่างมีศิลปเป็นรูปแบบของตน
แต่ มีเสน่ห์เหมือนกัน
ยินดีครับ
ครับคุณยายธี
คุณยายกำลังก้าวเดินตามหลัก
ทาน
ศีล
ภาวนา
นำพาสู่เส้นทางสุดท้ายของชีวิต
ทางนี้ดีงามยิ่งนัก
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพค่ะ เป็นกำลังให้บ้านเล็กในป่าใหญ่นะคะ