ด้วยความเป็นครอบครัวอพยพ
ที่ใช้ชีวิตอยู่ตามเส้นทางการทำงานของพ่อ
ทำให้ชีวิตต้องระหกระเหิรเดินทาง
ไปอยู่หลายจังหวัด
เมื่อเล่าเรียนหนังสือในระดับชั้นประถมและมัธยมศึกษา
ก็มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง อย่างน้อย ๑๒ ปี
ด้วยส่วนตัวเป็นคนชอบความสงบเงียบ
ไม่ชอบความวุ่นวายของผู้คน รถราที่แสนติดหนึบ
เมื่อถึงเวลาเลือกเส้นทางของชีวิตตัวเองได้
จึงเลือกออกมาเรียนต่างจังหวัด
โดยผ่านระบบ Entrance ในสมัยก่อน
แน่นอนว่า สมใจของตัวเอง แต่ไม่ค่อยสมใจแม่เท่าไหร่
เพราะแม่คงไม่อยากลูกต้องเดินทางออกไปไกลจากบ้านมากนัก
แม่จึงมีข้อเสนอให้เรียนมหาวิทยาลัยเอกชน
แต่ผมก็ตั้งปณิธานเอาไว้แล้วว่า อยากออกจากเมืองหลวง
จึงทิ้งข้อเสนอของแม่ แล้วเดินทางไปตามเส้นทางที่ตัวเองคิด
การอยู่บ้านที่เรายังอยู่ในสายตาของพ่อแม่
แต่การออกมาอยู่คนเดียวในหอพักมหาวิทยาลัย
ทำให้เราต้องฝึกฝนตนเองในทุกด้าน
เราต้องอยู่ให้ได้ท่ามกลางสังคมใหม่
ผมคิดว่า ผมเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม
จากการตัดสินใจครั้งนี้
บางทีก็เหงาบ้าง บางทีก็เศร้าบ้าง
บางทีก็มีความสุขบ้าง แต่นั่นก็เป็นชีวิตที่เราเลือกเอง
แต่เป้าหมายในคิดอยู่ในใจก็คงไม่ใช่ที่นี่ "พิษณุโลก"
เมื่อเรียนจบ แม่ก็คิดถึงแล้ว อยากให้กลับมาทำงานที่บ้าน
แต่มันก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่ตัวเองคิดไว้อีก
กลับมาทำงานได้ไม่กี่เดือน
ก็ได้มาเรียนในระดับปริญญาโท ณ จังหวัดที่ตัวเองตั้งใจไว้
ก่อนเรียนระดับปริญญาตรี "เชียงใหม่"
"เชียงใหม่" คือ จังหวัดที่อยากจะมาใช้ชีวิตอยู่ไปตลอด
อาจจะด้วยความใฝ่ฝัน ภาพลักษณ์ที่สวยงาม
ธรรมชาติที่อยู่ใกล้เมือง ความเงียบ สงบมากกว่าเมืองหลวงที่เคยอยู่
ราวกับตัวเองเป็นคนชนบทมากกว่าคนเมืองใหญ่
เรียนจบ ก็ยังเลือกทำงานในมหาวิทยาลัยที่เรียนจบอีก ๕ ปี
เช่าหอพัก มีรถเครื่อง อยู่อย่างตามอัตภาพ
ไม่ได้สะสมทรัพย์สมบัติอะไรมาก นอกจากหนังสือ
แต่ก็มีเหตุพลิกผันที่ทำให้ตัวเองต้องตกงานเกือบ ๑ ปี
ไปได้งานใหม่อีกครั้งก็ที่ "เชียงราย"
"เชียงราย" บรรยากาศใหม่ที่ใช้ชีวิตไม่ต่างจาก "เชียงใหม่"
ในฐานะ "นักเทคโนโลยีการศึกษา" ของมหาวิทยาลัย
ซึ่งตำแหน่งนี้ไม่มีเปิดรับกันง่าย ๆ ในประเทศไทยแห่งนี้
แต่ทำงานหนักไปได้ไม่ถึง ๔ เดือน ชีวิตก็ต้องพลิกผันอีกครั้ง
เพราะอาชีพที่เป็นความใฝ่ฝันจริง ๆ เปิดรับที่ "เชียงใหม่"
เลือกที่ใช้โอกาสไปสอบแข่งขันกับคนอื่นเขา
โดยที่หนังสงหนังสือก็ไม่ได้อ่าน
แถมมหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังไม่ค่อยได้ความรู้จักเท่าไหร่
ดันสอบติดเป็นสำรอง แต่อันดับ ๑ เขาสละสิทธิ์
ทำให้ได้กลับมาทำงานที่ "เชียงใหม่" อีกครั้งหนึ่ง
ชีวิตมันพลิกผันไปมา แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้
มันขึ้นอยู่ว่า เราวางชีวิตของตัวเองอย่างไร
ผมอยากอยู่ "เชียงใหม่" มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหน แต่ใจก็กลับมาอยู่ที่เดิมอยู่ดี
ถึงปัจจุบันนี้ ผมภูมิใจและพอใจที่ได้ทำตามที่ตัวเองใฝ่ฝันสำเร็จ
เรียนหนังสือไม่ค่อยเก่ง หัวไม่ค่อยดี
มีแต่ความมุ่งมั่นและพยายามเท่านั้น จนมีทุกวันนี้
ผมเคยย้อนคิดกลับไปเหมือนกันว่า
ถ้าหากตอนผมยังตัดสินใจอยู่เมืองหลวง
ผมจะได้มาอยู่จังหวัดที่ผมฝันเอาไว้ไหม
และผมจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจไหม
เพราะการเดินทางของชีวิตที่ผ่านมา
ผมสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง
แต่ก็มีพ่อกับแม่คอยสนับสนุนอยู่ห่าง ๆ
เวลาที่ผมล้มลุกคลุกคลาน
พ่อแม่เป็นคนประคองผมลุกขึ้นมาทุกครั้ง
อยากขอบคุณพ่อแม่ที่ทำให้เกิดมาในโลกนี้
และคอยดูแลเอาใจใส่ผมมาตลอด
ไม่เคยขีดขวางในสิ่งที่ผมอยากเป็นเลย
ไม่เคยครอบงำความคิดของผม
ไม่เคยบังคับในสิ่งที่พ่อแม่อยากให้เป็น
ผมจึงได้เลือกเส้นทางของชีวิตของตัวเองได้
ในฐานะคนเรียนไม่เก่ง แต่ประเมินขีดความสามารถของตัวเองได้
จึงเดินทางตามเส้นทางที่ตัวเองได้คิด
ผมไม่ใช่คน Think Big แต่ผมเป็นคน Think Small
คิดเล็ก ๆ ไม่เกินตัว พอประมาณ เท่าที่ต้นทุนชีีวิตจะพอมี
แต่สิ่งที่ผมยังรู้สึกผิดอยู่เสมอ ไม่ใช่ การดำเนินชีวิตของตนเอง
แต่เป็นการทำให้พ่อกับแม่คิดถึงและเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา
ผมยังทำให้ท่านใช้ชีวิตยังไม่สบายเท่าไหร่
พ่อยังคงต้องทำงานอยู่ แม่ก็คงต้องเหนื่อยกับผมมามาก
นั่นคือ สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำต่อไป ...
ชีวิตผม พอแล้ว ... ทุกอย่างอยู่ที่โอกาส
ไม่มีโอกาสก็ไม่เป็นไร
พ่อแม่ต้องสบายมากกว่านี้
รักพ่อกับแม่นะครับ ;)...
เชียงใหม่
๒๑ มิ.ย.๕๘
ขอบคุณเช่นกันครับ คุณ ถาวร ที่ได้มาเยี่ยมบันทึกนี้ ;)...
พ่อแม่อาจารย์น่ารักนะค่ะ ^_^
ไม่ว่าโตแค้ไหนเราก็เป็นเด็กในสายตาท่านอยู่ดีนะค่ะ
สู้ๆนะค่ะ
ขอบคุณมากครับ น้อง aingfar ;)...
ทำงานมาตลอดชีวิต หยุดทำก็ "เหงา" นะครับ คุณมะเดื่อ ;)...
เพิ่งรู้ว่าอาจารย์หลงรัก "เชียงใหม่" มาตั้งนานนะคะ
ถูกต้องแล้วครับ ลูกศิษย์ ศศิธร ฟองจันทร์ ;)...
เชื่อว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่ได้อ่านบันทึกนี้คงดีใจและภูมิใจในผลงานจากเลือดเนื้อของตัวเองมากๆค่ะ พูดในฐานะของแม่คนหนึ่งได้เลยค่ะ เพราะสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนคาดหวังนั้นอ.วัสทำได้หมดแล้ว น่าจะเหลืออยู่ก็เรื่องที่ท่านคงรออย่างเข้าใจนะคะ อิอิ
นั่นสิครับ คุณ โอ๋-อโณ เรื่องสำคัญเลยล่ะ 555
อ่านเรื่องของอาจารย์แล้วมีความสุข
เอาภาพคุณครูมาฝาก
ให้มีความสุขมากกว่าเดิม 555
สุขกว่าเดิมทีเดียวครับ อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง 555