การจัดการเรียนการสอนโดยวิธีการสะท้อนคิด (Reflective thinking)
โดย...กลุ่มวิชาสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช
กระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคแห่งความเป็นโลกาภิวัตน์ การสร้างความพร้อมของอาจารย์พยาบาลที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ท้าทายศักยภาพและความสามารถของอาจารย์พยาบาล ที่จะสร้างนวัตกรรมทางการเรียนรู้ในลักษณะต่างๆ ให้เกิดขึ้นซึ่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ. ศ. 2545 ได้ปฏิรูปการศึกษาทุกระดับ เน้นการปรับปรุงหลักสูตรและปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้คิดเป็น แก้ปัญหาเป็น และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมไทย โดยกำหนดแนวการจัดการศึกษาในยุคปฏิรูปการศึกษาไว้ในหมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ดังนี้ 1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 2) ฝึกทักษะกระบวนการคิดการจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา และการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง การคิดและการสอนคิด เป็นเรื่องที่สำคัญในการจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนได้มีคุณภาพการคิดขั้นสูง (สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2556) กอปรกับการปฏิบัติงานในวิชาชีพพยาบาล พยาบาลจำเป็นต้องมีทักษะในการคิดแก้ปัญหาและตอบสนองความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการดูแลที่ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางและปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยใช้การปฏิบัติการพยาบาลตามหลักฐานเชิงประจักษ์ (Chan, 2013) การจัดการศึกษาพยาบาลมีเป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในการเรียนรู้ด้วยตนเองและมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นหนึ่งในการคิดขั้นสูงเพื่อใช้ในการแก้ปัญหา (Problem solving) และการตัดสินใจทางคลินิก (Clinical decision making) (ลัดดาวัลย์ ไวยสุระสิงห์และสุภาวดี นพรุจจินดา, 2554) อาจารย์พยาบาลจึงควรตระหนักถึงการนำการคิดอย่างมีวิจารณญาณมาใช้เป็นฐานคิด ในการออกแบบจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาทักษะดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ผู้เขียนมีความประสงค์ที่จะพัฒนาการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมกระบวนคิดอย่างมีวิจารณญาณ เนื่องจากกระบวนการคิดนั้นไม่ได้เป็นเนื้อหาที่ครูผู้สอนจะสามารถเห็น และนำไปเป็นแนวทางในการสอนให้ประสบผลสำเร็จได้ง่าย จากสภาพความเป็นจริงของการจัดการศึกษานักศึกษาพยาบาลมีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณตํ่ากว่าเป้าหมายที่กำหนด กล่าวคือนักศึกษาพยาบาลมีความสามารถการคิดอย่างมีวิจารณญาณในระดับปานกลาง (ธัญพร ชื่นกลิ่น และวัชรา เล่าเรียนดี, 2555;ทองสุข คำชนะและคณะ, 2548) ดังนั้น หากอาจารย์พยาบาลยังคงใช้วิธีสอนแบบบรรยายหรือแบบดั้งเดิม สอนให้นักศึกษาพยาบาลเรียนรู้โดยการท่องจำให้ขึ้นใจ อาจส่งผลให้ นักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่ ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดไม่เป็น และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ขาดการใฝ่รู้ และการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต จากผลการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่า อาจารย์พยาบาลจำเป็นต้องพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาพยาบาลให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น นักศึกษาพยาบาล จำเป็นต้องพัฒนาความสามารถในการตัดสินใจทางคลินิก (Gerdeman, Lux, &Jacko, 2012) ซึ่งประกอบด้วยการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการเข้าใจภาพรวมโดยผสมผสานประสบการณ์และความรู้ที่ได้เรียนมาสู่การปฏิบัติ ตลอดจนความสามารถในการใช้เหตุผลทางคลินิกและการพยาบาลที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ สำหรับสังคมที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และการสื่อสารอยู่ตลอดเวลา จากเหตุการณ์หลายอย่างรอบๆ ด้านที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องมีกระบวนการพิจารณ์เหตุการณ์เหล่านั้น โดยใช้ทักษะทางปัญญาในการไตร่ตรอง ใคร่ครวญ ด้วยการพินิจพิเคราะห์สรุปและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล การคิดอย่างมีวิจารณญาณจึงเป็นการคิดที่ดีและมีคุณภาพ เพราะเป็นการคิดอย่างมีทิศทางและมีเป้าหมาย โดยคำนึงเหตุและผลมาประกอบการตัดสินใจและลงข้อสรุปได้อย่างน่าเชื่อถือ การฝึกการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ควรจะเริ่มแต่เนิ่นๆ เพราะเป็นการคิดที่พัฒนาได้ โดยผ่านประสบการณ์และการปฏิบัติ (Castledine, 2010 cited in Chan, 2013)
สำหรับการปฏิบัติการพยาบาลในคลินิกนั้น นักศึกษาพยาบาลจำเป็นต้องมีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เนื่องจากปัญหาผู้ป่วยมีความซับซ้อนขึ้น ทั้งผู้ป่วยฝ่ายกายและรวมถึงผู้ป่วยฝ่ายจิต ผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องการการดูแลระยะยาว และการดูแลที่บ้าน ดังนั้นการสอนทางการพยาบาลจำเป็นต้องใช้กลวิธีการสอนเชิงรุกแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ซึ่งผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ไม่ต้องการเรียนแบบท่องจำที่เป็นการจำจากความรู้เชิงทฤษฎีมาสู่การปฏิบัติ วิธีการเรียนการสอนที่สามารถพัฒนากระบวนการคิดของ ผู้เรียนและช่วยลดช่องว่างระหว่างความรู้ทางทฤษฎี และการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ทางทฤษฎีที่เรียนมา ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม ได้แก่ การเรียนโดยใช้แผนที่แนวคิด (concept mapping) การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการสะท้อนคิดด้วยตนเอง (self reflection) เกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาและการปฏิบัติงานของตน การใช้กรณีศึกษา (case study) และอื่นๆ ทั้งนี้วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ผู้เขียน จะนำเสนอเพื่อที่จะช่วยห้นักศึกษาพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณได้ดีก็คือการสะท้อนคิด (Reflective thinking)
การสะท้อนคิด (Reflective thinking)
การสะท้อนคิด เป็นกระบวนการตรวจสอบภายในและค้นหาสิ่งที่ตนเองสนใจซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีการสร้างและแยกแยะความหมายของสิ่งต่างๆ ออกมาให้ชัดเจน เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ และแนวคิดใหม่ (Boyd,&Fales, 1983) ซึ่งการสะท้อนคิดมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับจุดเน้น เช่น การสะท้อนคิดที่เน้นเวลาเป็นหลัก และการสะท้อนคิดที่เน้นเนื้อหาเป็นหลัก มีการนำเทคนิคการสะท้อนคิดมาใช้เป็นกลวิธีในการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทางคลินิกในหลายสาขาวิชาชีพ รวมทั้งวิชาชีพพยาบาล และวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยส่วนใหญ่อ้างอิงแนวคิดและผลงานของ Schon (1983; 1987) ซึ่งได้แบ่งกระบวนการสะท้อนคิดออกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การสะท้อนคิดเกิดขึ้นเมื่อนักศึกษากำลังทำกิจกรรมนั้น ๆ (reflection inaction) 2) เกิดขึ้นหลังจากที่นักศึกษาทำกิจกรรมนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว หรือกิจกรรมนั้นได้ผ่านไปแล้ว (reflection on action) 3) เกิดขึ้นเมื่อนักศึกษาเริ่มต้นคาดการณ์หรือวางแผนงานเพื่อเผชิญเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อปรับปรุงหรือทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้น (reflection for action)
ทำไมนักศึกษาพยาบาลต้องฝึกการสะท้อนคิด
กระบวนการฝึกฝนการสะท้อนคิด ทำให้นักศึกษาคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ซึ่งเป็นผลลัพธ์โดยตรงของกระบวนการสะท้อนคิด จะดึงประสบการณ์ในเชิงลึก นักศึกษาจะใช้เวลาในการคิดพิจารณา ไตร่ตรอง อย่างรอบคอบในสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ การฝึกสะท้อนคิดสามารถฝึกได้โดยวิธีการเขียน (writing) และใช้วิธีการพูด (verbally) หรือการสนทนา (Interaction) และทำเป็นรายบุคคลหรือทำเป็นรายกลุ่มการสะท้อนคิดด้วยการเขียน ช่วยให้นักศึกษาพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การเข้าใจตนเอง และการสะท้อนคิด (Billings, 2006; Craft, 2005; Daroszewski, Kinser,&Lloyd, 2004) Pedro (2006) กล่าวว่าการเขียนเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการเรียนการสะท้อนคิดที่ช่วยให้นักศึกษาแก้ปัญหาและเรียนรู้เกี่ยวกับว่าเขาจะทำอะไร การเขียนหมายรวมถึงการเขียนสิ่งที่เรียนรู้ เป็นการบันทึกเกี่ยวกับความคิดของเขา เมื่อทำบ่อยๆ จะกลายเป็นสิ่งที่เรียนรู้อย่างถาวร เมื่อผู้เรียนเขียนความคิดลงไป ความคิดเหล่านั้นจะถูกจัดรูปแบบ ให้เป็นระบบดีขึ้น การเขียนช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างลึกซึ้ง
***โปรดติดตามการจัดการเรียนการสอนโดยวิธีการสะท้อนคิด (Reflective thinking) ในตอนที่ 2
การจัดการเรียนการสอน reflective thinking .มีหลายรูปแบบได้แก่...การสนทนา (Dialogue) ซึ่งเป็นการพูดคุยเพื่อแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกและแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างมีโครงสร้าง (Structured Dialogue) โดยมีการเตรียมประเด็นหรือคำถามสำหรับกระตุ้นให้เกิดการคิดอย่างมีเหตุผลและเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นนั้นๆ (Wong. et.al.1997: 477-478) การสนทนาอาจทำเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยให้สมาชิกในกลุ่มระบุเหตุการณ์ความคิด และความรู้สึกเพื่อเป็นสื่อเพื่อค้นหากรอบแนวคิดของเรื่อง วิเคราะห์ปัจจัยต่างของการกระทำที่สะท้อน ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมของแต่ละบุคคล รวมทั้งอาจระดมสมองเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ผลของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ก่อให้เกิดกำลังใจ มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน และเกิดการเรียนรู้ที่กว้างขวางขึ้น (อภิภา ปรัชญพฤทธ์. 2547: 64; Davies. 1995: 171-172) การสนทนาในการเรียนการสอนทางการพยาบาล สามารถกระทำได้ตลอดเวลาที่มีการเรียนการสอนในคลินิก เช่น สนทนาระหว่างครูกับนักศึกษาระหว่างให้การพยาบาลผู้ป่วย หรือสนทนาเป็นกลุ่มในการประชุมก่อนและหลังการฝึกปฏิบัติงาน ประเด็นในการสนทนาเกี่ยวข้องกับการสะท้อนการปฏิบัติการพยาบาลที่นักศึกษาได้ให้กับผู้ป่วย เน้นการวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและอธิบายเหตุผลของการกระทำ ซึ่งผลพบว่า นักศึกษาสามารถเข้าใจปัญหาทางด้านจิตใจของผู้ป่วยได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น สามารถใช้เหตุผลในการดูแลผู้ป่วยทางจิตเวชได้อย่างลึกซึ้งและสามารถพัฒนามุมมองในการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวมได้ดีขึ้น
การถามคือ การบูรณาการเพื่อพัฒนาไปสู่การคิดไตร่ตรอง (Reflective Thinking) และโครงสร้างกระบวนการคิด ช่วยให้ผู้เรียนได้ไตร่ตรองความเข้าใจของตน และสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงการเรียนรู้ การคิด และการสอน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอนจะป้อนคำถามในลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นคำถามที่ดี สามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพื่อให้ผู้เรียนใช้ความคิดเชิงเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ สังเคราะห์ หรือ การประเมินค่าเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น
บทบาทของผูสอนในการประเมินและกระตุนผูเรียนในการเขียนสะทอนคิด
ผู้สอนสามารถใชหลักการประเมินเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดแกปญหาและความสามารถในการคิดอยางมีวิจารณญาณของนักศึกษา โดยการสะทอนคิดจะตองมีคุณภาพและครอบคลุมทุกมิติ ตัวอยางเชน สะทอนคิดตามหลักการสรางความรูของคารเปอร (Carper, 1978) ดังนี้
1. Empirical knowing เปนการสะทอนคิดเกี่ยวกับขอเท็จจริง
2. Personal knowing เปนการสะทอนคิดเกี่ยวกับตนเอง
3. Aesthetic knowing เปนการสะทอนคิดเกี่ยวกับความรูดานศิลปะและความงดงาม
4. Ethic knowing เปนการสะทอนคิดเกี่ยวกับความรูดานจริยธรรม
5. Socio-political knowing สะทอนคิดเกี่ยวกับความรูดานสังคม-การเมือง
รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบการพัฒนากระบวนการคิด ด้วยการใช้คำถาม
1. รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบการพัฒนากระบวนการคิดด้วยการใช้คำถามที่
สังเคราะห์ จากรูปแบบของครูต้นแบบจำแนกเป็น 3 แบบ คือ
1.1 การจัดกระบวนการคิดโดยใช้คำถามของเบนจามิน บลูม และเดอโบโน
1.2 การพัฒนาความคิด ด้วยวิธีตั้งคำถาม โดยใช้หมวกความคิด
1.3 การพัฒนาความคิดโดยใช้คำถามสร้างสรรค์
2. รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบโฟร์แมทซิสเต็ม (4 MAT'S Learning)
3. รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบการพัฒนากระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์
รูปแบบ การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบการพัฒนากระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ที่สังเคราะห์จาก
รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูต้นแบบ จำแนกเป็น 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยวิธีการสืบเสาะและสืบสวนหาความรู้
แบบที่ 2 รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา
แบบที่ 3 รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเน้นปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based
Instruction)
4. รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ รูปแบบการจัด
กระบวนการ เรียนรู้แบบส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่สังเคราะห์ได้จากรูปแบบการสอนของครูต้นแบบ
ประกอบด้วย 4 รูปแบบ ดังนี้
แบบที่ 1 รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ (Constructivism)
แบบที่ 2 รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA)
แบบที่ 3 รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
แบบที่ 4 รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยวิธีสตอรี่ไลน์ (Story line method)
5. รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบโครงงาน
6. รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยวงจรพัฒนาคุณภาพ
1. ความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนแบบการสะท้อนคิดในการพยาบาล
วิชาชีพการพยาบาลเป็นวิชาชีพที่ต้องปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่หลากหลาย และเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ซึ่งต้องปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การเรียนรู้จากประสบการณ์หรือการสะท้อนคิดจากการปฏิบัติ (Reflective practice or reflection onpractice) จึงมีความสำคัญต่อการคิด ตัดสินใจ แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆซึ่งจะช่วยให้เกิดทักษะในการแก้ปัญหาที่ยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งช่วยให้เข้าใจเหตุผลของการปฏิบัติได้ดีขึ้น (Davies, 1995) การฝึกสะท้อนคิดเป็นกระบวนการที่นำไปสู่การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเป็นการพัฒนาศักยภาพทางปัญญาที่ส่งผลให้มีการปฏิบัติและการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของพุทธศาสนาที่กล่าวถึงการคิดไตร่ตรองหรือการคิดทบทวนอย่างมีเหตุผล สามารถนำมาใช้เป็นวิธีการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี โดยนักปรัชญาเรียกว่า วิธีแห่งปัญญา การสะท้อนคิดเป็นรูปแบบการคิดที่ช่วยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจะเกิดจากการรับรู้ ความคาดหวัง ความรู้สึกตนเองเกี่ยวกับประสบการณ์ แล้วมีการวางแผนหาแนวทางแก้ไขในอนาคต โดยผ่านกระบวนการพูดหรือเขียน การสะท้อนคิดจึงเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับวิชาชีพพยาบาล เป็นวิธีที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีการเชื่อมโยงความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติได้ รวมทั้งมีการตัดสินใจเชิงจริยธรรมที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานในสถานการณ์ต่างๆได้ (อรพรรณ, 2553) นอกจากนี้ ยังมีผลทำให้พยาบาลได้เรียนรู้และเข้าใจตนเองมากขึ้น ส่งผลต่อการดูแลผู้รับบริการอย่างเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์และมีความเอื้ออาทรเกิดขึ้น (Lauterbach & Becker, 1998) การนำวิธีการสะท้อนคิดมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน จึงเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ในการเตรียมบุคลากรทางการพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนที่มีการปฏิบัติเป็นฐาน (Practice - based Instruction) ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงการบริการกับการเรียนรู้ได้ (Service learning) เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและเปิดโอกาสให้วิเคราะห์วิพากษ์ และประเมินสิ่งที่ปฏิบัติ รวมทั้งได้รับข้อเสนอแนะในการปฏิบัติครั้งต่อไป (Eyler, 2002)
ดังนั้นการสะท้อนคิดจึงเป็นทักษะทางปัญญาที่มีความจำเป็นสำหรับบัณฑิตพยาบาลทุกคนเพราะเป็นทักษะที่ช่วยให้พยาบาลรู้จักคิดอย่างมีวิจารณญาณรู้จักแก้ปัญหาและพัฒนางานด้วยกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบบนพื้นฐานหลักฐานเชิงประจักษ์ที่น่าเชื่อถือทั้งนี้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ ได้มีการกำหนดให้สถาบันการศึกษาพยาบาลจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาให้เกิดผลการเรียนรู้ด้านต่างๆ รวมถึงทักษะทางปัญญาด้วยเช่นกัน
2. แนวคิดของการสะท้อนคิด(Reflection) การสะท้อน (Reflection) เป็นการคิดเกี่ยวกับการคิดของตนเอง การสะท้อนคิดแสดงออกถึงความคาดหวัง ความรู้สึก การสื่อสารโดยผ่านกระบวนการพูด หรือ เขียน โดยมีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์ เปรียบเทียบ วางแผนแก้ไขปัญหา โดยมีผู้ให้ความหมายการสะท้อนคิดดังนี้
2.1 ความหมาย
ดิวอี้ (Dewey, 1933:12) ในงานเขียนเรื่อง "How we Think" ให้ความหมายของการสะท้อนคิดว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของการคิดพินิจ พิเคราะห์ ตรึกตรองใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง โดยเริ่มจากความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับความคิดความเชื่อหรือองค์ความรู้ที่ยึดถือกันอยู่ และใช้ความพยายามในการค้นหาคาตอบ โดยอาศัยเหตุผลและข้อมูลอ้างอิง
โนเวลส์, โคล และ เพรสวูด (Knowles; Cole and Presswood.1994 : 8-10) กล่าวว่าการสะท้อนคิดเป็นการใช้กระบวนการพินิจพิเคราะห์ ตั้งคำถามย้อนหลังกลับมายังสถานที่เป็นอยู่อย่างครอบคลุมทุกด้าน 6 แยกให้เห็นปัญหาที่เป็นเหตุผลในการปฏิบัติขณะนั้น ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้และส่งผลต่อการแก้ปัญหาที่เหมาะสม
แยซี (Yancey. 1998) กล่าวว่าการสะท้อนคิดอาจหมายถึงการทบทวนในงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งหรือการประเมินตนเอง หรือ เป็นการวิเคราะห์ การเรียนรู้ ที่เกิดขึ้น
โคลเลน (Colloen. 1996:54) ได้เสนอความคิดเห็นว่า การสะท้อนคิดเป็นปฏิกิริยาของสมองที่สะท้อนสิ่งที่บุคคลนั้นคำนึงถึงอย่างใคร่ครวญ ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อถ่ายโอนความรู้สึกต่างๆ ของตนเองก่อนที่จะสื่อสารกับผู้อื่นด้วยการพูดหรือการเขียน
จอห์น (Johns. 2000: 34) กล่าวว่าการสะท้อนคิดเป็นกระบวนการคิดไตร่ตรองทบทวน (Reflective Thinking) พินิจพิเคราะห์และพิจารณาสิ่งต่างๆอย่างรอบคอบโดยใช้สติและมีสมาธิ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้บุคคลได้ทบทวนและสะท้อนการกระทำของตน (Reflective Practice) ช่วยให้เกิดความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ นำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงตนเอง ปรับปรุงงาน และการแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า การสะท้อนคิดเป็นกระบวนการภายในตัวบุคคลที่มีความซับซ้อน ถือ เป็นการคิดระดับสูง ที่เรียกว่า อภิปรัชญา ซึ่งเป็นการคิดเกี่ยวกับการคิดของตนเอง รวมทั้งสิ่งสำคัญที่มีผลต่อความคิดนั้น
ดังนั้นการสะท้อนคิดจึงขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ตัวผู้เรียน ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ และวิธีการในการเรียนรู้
2.2 ขั้นตอนของการสะท้อนคิด
กระบวนการเรียนรู้โดยการสะท้อนคิด ของ กิบส์ (Gibbs, 2000) ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนดังนี้
1. การบรรยาย (Description) เป็นการบรรยายว่า อะไรเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการสะท้อนคิด เป็นการบรรยายที่เกิดจากความรู้สึกที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์นั้น ๆ
2. ความรู้สึก (feelings) เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันโดยการสะท้อนการคิดจากการสังเกตความรู้สึก และการรับรู้ เรามีปฏิกิริยาอย่างไร หรือรู้สึกอย่างไรกับอุบัติการณ์ สถานการณ์หรือประเด็นแนวคิดนั้น เช่น การขาดความมั่นใจ ความกลัว ความสับสนในการปฏิบัติงาน เป็นต้น
3. การประเมิน (Evaluation) เป็นการประเมินวิเคราะห์ประสบการณ์ร่วมกันว่าเป็นไปในทางดีหรือไม่ดีเกี่ยวกับอุบัติการณ์ สถานการณ์ หรือประเด็นแนวคิดนั้น แล้วนำสิ่งที่คุณให้คุณค่ามาใช้ในการตัดสินใจ
4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์โดยภาพรวม โดยใช้ประสบการณ์เดิมมาช่วยในการมองว่า สถานการณ์นี้เป็นอย่างไร
5. การสรุป (General conclusions) เป็นการสรุปความคิดรวบยอดจากการวิเคราะห์โดยใช้เหตุและผล หรือสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงการสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยใช้ประสบการณ์เดิมมาช่วยในการสรุป
6. การวางแผนปฏิบัติในอนาคต (Personal action plans) การวางแผนนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปฏิบัติในสถานการณ์ใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาตนเอง ถ้าหากสถานการณ์นี้เกิดขึ้นอีก เราจะทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง มีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างไร
2.3 รูปแบบการเรียนการสอนที่การส่งเสริมการสะท้อนคิด
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนทางการพยาบาล ได้มีการพัฒนาเพื่อให้มีความเหมาะสมทันสมัย จากการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมที่เน้นการถ่ายทอดความรู้สู่ผู้เรียนโดยตรงมาเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การสอนแบบเน้นปัญหา การสอนเพื่อพัฒนาการคิด รวมทั้งการใช้สื่อต่างๆ ในการเรียนรู้ ศึกษาวิจัยการจัดการเรียนการสอนทางการพยาบาลในประเทศไทยที่ผ่านมานั้น ได้มีการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีการคิดวิเคราะห์ การสะท้อนคิด เป็นวิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้ผู้เรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนการสอน เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับแนวทางการจัดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาและสอดคล้องกับหลักสูตรที่กำหนด
การเรียนการสอนที่จะส่งเสริมให้มีการสะท้อนคิดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเขียนบันทึก (Journal Writing) การสนทนา (Dialogue) การวิเคราะห์อุบัติการณ์ (Incident Analysis) การอ่านงานเขียนอย่างพินิจพิเคราะห์ (Reading With Reflection) การเขียนบัตรคำ (Talking Cards/ Index Cards) การเขียนแผนผังความคิด (Reflection Mapping) การวิเคราะห์กระบวนการตัดสินใจ (Decision-Making Analysis) การสนทนาโต๊ะกลม (Reflection Roundtables) กระบวนการกลุ่มแบบหมวกหกใบ (Six Hats) นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายวิธี ซึ่งบางวิธีใช้สำหรับการสะท้อนคิดในตัวบุคคล หรือการส่องสะท้อนตนเอง (Self Reflection/ Individual Reflection) บางวิธีใช้สำหรับทำเป็นคู่ (Reflection with Partners) หรือทำเป็นกลุ่มเล็ก (Reflection in Small Groups and Teams)
คุณลักษณะของการสะท้อนคิด
1. เป็นวิธีการอย่างเป็นระบบของการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะพัฒนาให้ดีขึ้นในอนาคต
2. ทำให้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยพิจารณาสิ่งที่เรารู้ เชื่อ และให้คุณค่า อย่างเป็นระบบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
3. ช่วยทำให้ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของบุคคลมีความหมาย ทำให้ตระหนักถึงความสำเร็จและเกิดความพึงพอใจ
4. เกิดการเรียนรู้ประสบการณ์ที่ได้รับอย่างมีความหมาย
การสะท้อนคิดเป็นการกระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามและหาคำตอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับความรู้ (Knowledge worker) ซึ่งต้องตั้งคำถามที่กระตุ้นการคิดและพัฒนาผลลัพธ์ของงานให้ดีขึ้น
การสะท้อนคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติ/ทำงาน นาไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อพัฒนาการปฏิบัติให้ดีขึ้น ช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบส่วนบุคคล (individual accountability) เพิ่มความตระหนักรู้ในตนในสิ่งที่กระทำ และเปลี่ยนจากผู้ปฏิบัติที่มีประสบการณ์น้อยไปเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ (from novice to expert) นอกจากนี้ กระบวนการของการสะท้อนคิดช่วยทำให้เราสามารถเข้าถึงความรู้ที่มีอยู่ในตัวคน (tacit knowledge) ซึ่งบุคคลได้สั่งสมมาจากการปฏิบัติงาน
2.4 ประโยชน์ของการสะท้อนคิด
ประโยชน์ที่ได้จากการนำการสะท้อนคิดมาใช้ในการเรียนการสอน
1. เกิดทางเลือกแนวใหม่ในทางปฏิบัติ มีความชัดเจนในประเด็นปัญหาต่างๆ และสามารถพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาได้
2. มีการปฏิบัติงานอย่างรอบคอบโดยใช้ประสบการณ์มาปรับปรุงตนเอง ได้ เรียนรู้ข้อบกพร่องของตนเองเพื่อนำมาปรับปรุงการปฏิบัติของตนเองให้ดีขึ้น
3. ผู้เรียนสามารถระบุปัญหา และอธิบายการแก้ปัญหาในการปฏิบัติ และให้เหตุผลในการกระทำได้
4. ผู้เรียนมีโอกาสแสดงความรู้สึก และได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ในกลุ่ม ทำให้ลดความวิตกกังวลในการปฏิบัติการพยาบาลลง
5. ผู้เรียนมีความมั่นใจในตนเองและเกิดความภาคภูมิใจที่เกิดจากการเรียนรู้ของตนเอง
6. สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอน มีความเข้าใจกันมากขึ้น
7. ช่วยเพิ่มความตระหนักรู้
8. ส่งเสริมให้เกิดการคิดอย่ามีวิจารณญาณ
9. ทำให้ผู้ปฏิบัติในคลินิกสามารถปฏิบัติได้ใกล้เคียงกับการปฏิบัติในอุดมคติ
10. ช่วยพัฒนาทักษะปฏิบัติของนักศึกษา
11. สอนให้ผู้ปฏิบัติรู้จักรับฟังเสียงสะท้อนภายในตนเอง
2.5 การพัฒนาทักษะการสะท้อนคิด
การสะท้อนคิดเป็นทักษะทางปัญญาที่อาศัยกระบวนการคิดขั้นสูงที่สามารถพัฒนาได้การพัฒนาทักษะดังกล่าวทำได้โดยการกระตุ้นผู้เรียนในการนำประสบการณ์มาคิดวิเคราะห์ในประเด็นต่างๆ ตามลำดับตามขั้นตอนของการสะท้อนคิด และตามวัตถุประสงค์ของการสะท้อนคิดดังนั้นการกำหนดประเด็นหรือการตั้งคำถามที่ช่วยกระตุ้นการคิดถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทักษะการสะท้อนคิด เพราะการกำหนดประเด็นคำถามที่ชัดเจนและเรียงลำดับไปตามขั้นตอนของการสะท้อนคิดจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจนและส่งเสริมกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ
2.6 การเขียนบันทึกสะท้อนคิด
กระบวนการฝึกฝนการสะท้อนคิด ทำให้นักศึกษาคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ซึ่งเป็นผลลัพธ์โดยตรงของกระบวนการสะท้อนคิด จะดึงประสบการณ์ในเชิงลึก นักศึกษาจะใช้เวลาในการคิดพิจารณา ไตร่ตรอง อย่างรอบคอบในสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ การฝึกสะท้อนคิดสามารถฝึกได้โดยวิธีการเขียน (writing) และใช้วิธีการพูด (verbally) และทำเป็นรายบุคคลหรือทำเป็นรายกลุ่ม
การเขียนบันทึกสะท้อนคิด (Reflective Journal) เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ผู้สอนใช้ในการกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียนรวมถึงกระตุ้นทักษะการสะท้อนคิด บันทึกสะท้อนคิดเป็นเอกสารที่ผู้เรียนเขียนขึ้น เพื่อบรรยายประสบการณ์การเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ในระหว่างการเรียนทฤษฏีฝึกปฏิบัติหรือแม้แต่เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันบันทึกการสะท้อนคิดถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความสามารถของกระบวนการคิดและกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ
การสะท้อนคิดด้วยการเขียน ช่วยให้นักศึกษาพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การเข้าใจตนเอง และการสะท้อนคิด กล่าวว่าการเขียนเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการเรียนการสะท้อนคิดที่ช่วยให้นักศึกษาแก้ปัญหาและเรียนรู้เกี่ยวกับว่าเขาจะทำอะไร การเขียนหมายรวมถึงการเขียนสิ่งที่เรียนรู้ เป็นการบันทึกเกี่ยวกับความคิดของเขา เมื่อทำบ่อยๆ จะกลายเป็นสิ่งที่เรียนรู้อย่างถาวร เมื่อผู้เรียนเขียนความคิดลงไป ความคิดเหล่านั้นจะถูกจัดรูปแบบ ให้เป็นระบบดีขึ้น การเขียนช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างลึกซึ้ง
การเขียนสะท้อนคิด เป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดกระบวนการคิดจากความพยายามที่จะอธิบายและสื่อสารให้บุคคลอื่นทราบเกี่ยวกับความรู้ และความรู้สึกของตนเองที่มีอยู่ในแต่ละสถานการณ์ที่เกิดขึ้นการเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ในรูปแบบของการบันทึกสิ่งที่เป็นประโยชน์ จะทำให้ผู้เรียนเกิดความชัดเจนในความรู้
และการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ยังทำให้ผู้เรียนสามารถที่จะเปิดใจในการประเมินตนเอง ส่งเสริมทักษะการรู้จักตนเองมากขึ้น การเขียนอาจทำโดยใช้ Portfolio ในการบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาแนวความคิดของผู้เรียนในการมองย้อนถึงการกระทำของตนเองในแต่ละครั้งได้การกำหนดให้ผู้เรียนเขียนสะท้อนคิดในหัวข้อและในระยะเวลาที่กำหนดจะช่วยให้เกิดความคิดที่ต่อเนื่องและคงทน เนื่องจากการการเขียนจะช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นภาพของประสบการณ์ที่ผ่านมาของตนเองได้ชัดเจน มีการผสมผสานความคิดและสะท้อนความคิดของตนเอง สิ่งสำคัญที่พบอีกอย่างหนึ่งคือ การเขียนสะท้อนคิดทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้จากการคิดถึงสิ่งที่ผ่านมามาอย่างรอบคอบ การสะท้อนความคิดโดยการเขียนเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการอธิบายแนวความคิดและความเข้าใจในสถานการณ์ มีการแลก
เปลี่ยนความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการรู้จักตนเองมากขึ้น การเขียนสะท้อนคิดนี้ยังเหมาะกับผู้เรียนที่ไม่ค่อยชอบพูดทำให้นักศึกษาสามารถมีโอกาสได้แสดงความรู้สึกความคับข้องใจต่างๆที่ได้จากการฝึกปฏิบัติและนำไปสู่การพัฒนาทักษะในการค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาได้
2.7 การวัดและประเมินผล
2. ประเมินจากการเขียนสะท้อนผลการเรียนรู้ โดยให้เขียนภายหลังการเรียนรู้ในแต่ละวัน หรือ สัปดาห์ ว่าต้องการเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม มีปัญหาด้านใดบ้าง ต้องการอะไร เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป
การนำแนวทางการสะท้อนคิดมาใช้ในการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ เป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพการสอนทางการพยาบาลที่ต้องการเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ของนักศึกษา ในการเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองและของเพื่อนในกลุ่ม เพื่อก่อ่ให้เกิดความสามารถในการคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาและสามารถประยุกต์ทฤษฎีที่ได้เรียนมาสู่การปฏิบัติการพยาบาลได้ การสะท้อนคิดเกิดจากตัวผู้เรียนเองที่รับรู้ข้อมูล ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ แล้วจึงนำสถานการณ์นั้นมาคิด วิเคราะห์ใคร่ครวญตามความคิดความเข้าใจของตนเอง ก่อนที่จะบอกต่อผู้อื่นโดยผ่านทั้งทางการพูดและการเขียนวิธีการสะท้อนคิดนี้ จึงเป็นการพัฒนาผู้เรียนทั้งวิธีการคิด และทักษะทางปัญญา เป็นการพัฒนาการเรียนรู้ ที่จะสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาสาระเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้วิธีการสะท้อนคิดจะได้ผลดีต้องเกิดจากการรับรู้ ความเข้าใจตนเองเป็นสำคัญ มีการสะท้อนที่เป็นเหตุเป็นผล เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม ในการใช้วิธีการสอนโดยกระตุ้นให้เกิดการสะท้อนคิดในผู้เรียนนั้น ผู้สอนบนคลินิกมีความสำคัญในการช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าและความสำเร็จของผู้เรียน ด้วยการเป็นแรงเสริม ช่วยเหลือ ประสานงานด้านต่างๆ ให้คำปรึกษาแนะนำโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการคิด ใช้ปัญญาเพื่อการเรียนรู้ที่ยั่งยืนและมีความสุขในการเรียน นำไปสู่การเป็นพยาบาลวิชาชีพที่มีความรู้ความสามารถต่อไปในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
กนกนุช ชื่นเลิศสกุล (2544).การเรียนรู้โดยผ่านการสะท้อนคิด:การศึกษาและการปฏิบัติการพยาบาลในคลินิก.วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 9(2), 35-48.
เชษฐา แก้วพรหม (2556). การพัฒนาทักษะสะท้อนคิดของนักศึกษาพยาบาลด้วยการเขียนบันทึกการเรียนรู้ในรายวิชาการสอนและการให้คำปรึกษาทางสุขภาพ. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 24(2), 12-20.
อรพรรณ ลือบุญธวัชชัย (2553). การให้คำปรึกษาทางสุขภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Freshwater, D, Taylor, B, & Sherwood, G. (Eds) (2008). International Textbook of reflective
Practice in Nursing. Oxford: Blackwell Publishing & Sigma Theta Tau Press.
Johns, Christopher (2000). Becoming a Reflective Practitioner. London:
Blackwell Science.
Sherwood, G. & Horton-Deutsch, S.(Eds.) (2012). Reflective Practice: Transformimg Eduation
and Improving Outcomes. Indianapolis: Sigma Theta Tau Press.
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย อาจารย์ ลำเจียก (อ.น้อง) กำธร
….. อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/590695
….. อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/590757
การสะท้อนคิด การให้ผู้เรียนสะท้อนความคิดออกมาภายหลังที่ผู้สอนจัดการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฎิบัติ ซึ่งอาจจะทำในขั้นก่อนที่จะสรุปบทเรียน หรืออาจจะใช้ในขั้นสรุปบทเรียนโดยตรงก็ได้ เช่น ภายหลังให้ผู้เรียนนำเสนองานหรือกรณีศึกษา ก็อาจใช้คำถามกับผู้เรียนเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อะไรบ้าง ถามภายใต้บรรยากาศที่ผ่อนคลาย อบอุ่นและเป็นกันเอง โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นทีละคน โดยที่ผู้สอนอย่ารีบด่วนสรุป ควรรอ และเป็นผู้ฟังหรืออย่าชี้นำความคิด หรือแสดงความคิดเห็น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังผู้เรียนจนครบทุกคน อาจพูดคุยในรูปแบบการล้อมวง หรือเป็นกลุ่ม แล้วครูจึงช่วยให้ผู้เรียนช่วยกันสะท้อนคิดสิ่งที่ได้เรียนรู้ สรุปออกมาเป็นประเด็น จากนั้นผู้สอนค่อยเสริมให้ครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ หากผู้เรียนหลุดประเด็นสำคัญ ตัวอย่างที่ผู้เขียนใช้การเรียนรู้แบบสะท้อนคิดคือ การ conference case study การสะท้อนภายหลังการทำกิจกรรมกลุ่มบำบัดในผุ้ป่วยจิตเวช
ในช่วงท้ายชั่วโมง ผู้สอนควรจัดเวลาให้มีการสะท้อนคิดซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้สอนหรือผู้นิเทสอาจต้องยอมเสียเวลาบ้าง เพื่อตรวจสอบว่าภายหลังการจัดการเรียนการสอนผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อะไร ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น ด้านความรู้ ด้านอารมณ์ และเจตคติ เชื่อได้ว่าหากผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเขาได้พูดสะท้อนความคิดของเขาออกมาบ้าง เชื่อได้ว่าบรยากาศการเรียนทุกครั้งจะมีความหมายและเกิดประโยชน์สำหรับผู้เรียนอย่างแท้จริง
การเรียนการสอนกับการสะท้อนคิด
เทคนิคและแนวทางการตั้งคำถามการสะท้อนคิด
1.การตั้งคำถามต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์รายวิชา
2.การชี้ประเด็นคำถามให้ชัดเจน
3. การตั้งคำถามนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
การเขียนการสะท้อนคิดควรเขียนตามโครงสร้างลำดับขั้นตอนการสะท้อนคิด เนื่องจากการเขียนตามโครงสร้างนั้นช่วยในเรื่องการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอนของผู้เรียน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 เล่าประสบการณ์ที่พบในชีวิต/การฝึกงาน/ชุมชน
ขั้นที่ 2 เหตุการณ์นั้นเราคิด หรือรู้สึกอย่างไร
ขั้นที่ 3 วิเคราะห์ผลกระทบ เชื่อมโยงและตั้งคำถาม
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์เหตุการณ์เทียบเคียงกับองค์ความรู้
ขั้นที่ 5 สรุปความรู้ ความเข้าใจใหม่
ขั้นที่ 6 อธิบายแผนการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในอนาคต
ข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตในกระบวนการสะท้อนคิด
ประสบการณ์การใช้การสะท้อนคิดกับนักศึกษาพยาบาล
ดร.พอเพ็ญ ไกรนรา
การจัดการเรียนรู้ในวิชาชีพการพยาบาล มีการเรียนรู้ตามสภาพจริงเป็นส่วนใหญ่ สถานการณ์ในวิชาชีพเป็นสถานการณ์ที่ต้องใช้กระบวนการคิด การตัดสินใจ การเลือกและการปฏิบัติที่ต้องการความบกพร่อง ผิดพลาดน้อยที่สุดหรือไม่เกิดขึ้นเลย เพราะเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ นักศึกษาพยาบาลจึงต้องมีความแม่นยำในองค์ความรู้ต่างๆ สามารถคิดแก้ไขปัญหาได้ตลอด
การสะท้อนคิด ส่งเสริมให้นักศึกษาได้เรียนรู้อย่างชัดเจน สะท้อนทั้งความรู้สึก การเรียนรู้ ส่งเสริมให้เกิดข้อสงสัย นำไปสู่การค้นคว้าเพิ่มเติม และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จากประสบการณ์สะท้อนคิดกับนักศึกษาในการฝึกภาคปฏิบัติ รายวิชาปฏิบัติการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันการเจ็บป่วย พบว่าในครั้งแรกนักศึกษายังไม่สามารถสะท้อนความรู้สึกได้ในบางคน เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับการพูดถึงความรู้สึกกับอาจารย์ และส่วนใหญ่ยังไม่เกิดคำถามและการแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง หลังจากได้แลกเปลี่ยนกับอาจารย์ และเพื่อนเกี่ยวกับแนวทางการสะท้อนคิด และประโยชน์ รวมทั้งเห็นตัวอย่างของเพื่อนในกลุ่มที่สะท้อนได้ชัดเจน ทำให้การสะท้อนคิดในครั้งต่อมา นักศึกษาทำได้ดีขึ้น
นอกจากนั้นยังได้นำการสะท้อนคิดมาใช้ในการประเมินผลการฝึกอบรมของนักศึกษาในโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะการสร้างเสริมสุขภาพโดยประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้เห็นประโยชน์ของการสะท้อนคิดในอีกแง่มุม คือสามารถช่วยสะท้อนความคิด ความรู้สึกของนักศึกษาบางคน ซึ่งไม่ชอบการสื่อสารด้วยการพูด แต่สามารถสื่อสารได้ดีด้วยการเขียน ส่งผลให้อาจารย์สามารถเข้าใจความคิด และการเรียนรู้ของนักศึกษาได้มากขึ้น สามารถดึงประเด็นการเรียนรู้ที่นักศึกษาเขียนสะท้อนมาเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มได้ดีขึ้น
ข้อคิดจากการนำการสะท้อนคิดไปใช้ คือ การพัฒนานักศึกษาซึ่งมีความแตกต่างกันในรูปแบบการเรียนรู้ Learning style ควรใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อพัฒนาผู้เรียนที่มีความแตกต่างกัน การเข้าถึงความรู้สึกของผู้เรียนช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดีระหว่าง ผู้สอนและผู้เรียน และการหยิบประเด็นการสะท้อนคิดของผู้เรียนมาขยายผลการเรียนรู้ให้กับกลุ่มมีความสำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประสบการณ์การเรียนการสอนที่ตนเองด้รับทั้งในส่วนของภาควิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุแล้วและในส่วนที่ได้ร่วมทีมกับกลุ่มวิชาจิตเวชพบว่า มันคือสิ่งที่ดีสำหรับนักศึกาาแบะผู้สอน การไตร่ตรองการสะท้อนความคิดของตนเอง ประเด็นการทบทวนด้วยการตั้งคำถามเป็นการให้ไตร่ตรองในวันนี้ เวลานี้ ที่เรียนรู้มาคุฯได้อะไร คุฯบกพร่องหรือต้องแก้ไขอย่างไรทั้งคุณต้องทำอย่างไรในอนคตหรือเวลาต่อไปหรือครั้งต่อไปเพื่อให่ได้ผลดีเป็นการวางแผนให้เดินทางตามก้าวบันไดเพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพ
จากการนำแนวคิดการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดมาใช้กับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2557 ที่ฝึกภาคปฏิบัติรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ 1 ณ สถานสงเคราะห์คนชราบ้านศรีตรัง พบว่า ทำให้นักศึกษาได้เข้าใจตัวเอง เข้าใจครูผู้สอน เข้าใจธรรมชาติของสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป นักศึกษาสามารุถปรับเปลี่ยนพัฒนาตนเองได้จากการสะท้อนคิด ชี้ให้เห็นข้อดีข้อควรปรับปรุงในการปฏิบัติงานต่างๆ นักศึกษาได้มีทักษะทั้งการพูด การเขียน การคิดวิเคราะห์และการนำเสนอเพื่อให้คนอื่นเข้าใจตรงตามที่ตนต้องการ การสะท้อนคิดทำให้นักศึกษาเข้าใจและสามารถเชื่อมโยงทฤษฏีวิชาการกับการปฏิบัติจริงได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
วงจรการสร้างความรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (ไพจิตร สดวกการ, 2538)
เปรียบเทียบการสอนอย่างไตร่ตรองกับการวิจัยในชั้นเรียน
The process of reflective teaching |
The action research cycles |
จากการศึกษา ๒ ลักษณะเปรียบเทียบกันทำให้มีความเข้าใจว่าการศึกษาแบบ reflective กับการศึกษาวิจัยในชั้นเรียน ดังนั้นถ้าเรานำสองรูปแบบนี้มาใช้ด้วยกันจะทำให้อาจารย์มีการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่น่าเชื่อถือได้เป็นวิจัยในชั้นเรียนอีกฉบับที่ได้จากการศึกษานักศึกษาของเราเอง
การจัดการสอนโดยการสะท้อนคิด มักมีหลายครั้งที่เป็นการสะท้อนคิดโดยไม่มีรูปแบบชัดเจน ซึ่งบางครั้งเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น สิ่งที่ควรได้รับจากการสะท้อนคิดคือผู้เรียนได้มีการพัฒนาและงอกงามตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้มากกว่า
ผู้สอนเป็นผู้กระตุนใหนักศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกัน ผู้สอนต้องสร้างสรางบรรยากาศใหนักศึกษารู้สึกว่าปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็น ในประเด็นต่างๆ