เรื่องต่อไปนี้ที่ดิฉันจะเล่าให้ฟัง เกิดจาการตั้งคำถามของดิฉันกับ พี่ที่สนิทมากคนหน่ึ่งดิฉันถามเค้าว่า "เราจะนั่งสมาธิกันไปทำไมกันนะ" และเรื่องราวเหล่านี้ก็พร่างพรูออกมาจากพี่คนนี้ เขามีชื่อว่า พี่น้อย
พี่น้อยเป็นผู้หนึ่งที่แสวงหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตความสุขและความสงบและหนทางที่จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่โดยไม่เป็นสาเหตุหรือมีอิทธิพลในด้านก่อความทุกข์ต่อผู้อื่นปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเกิดประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์และได้ตายไปโดยจารึกชื่อไว้ในสายน้ำ คงเหลือให้จดจำเพียงคุณความดีที่เคยสร้างไว้ยามมีชีวิตสมดังคำกล่าว
“สถิตทั่วแต่ชั่วดีประดับไว้ในโลกา”
ด้วยความคาดหวังเช่นนี้อาจส่งผลให้พี่น้อยมีชีวิตและดำเนินชีวิตโดยจริงจังกับทุกๆเรื่องอย่างยิ่ง ทั้งที่เป็นส่วนตัวและที่เป็นส่วนรวม นานวันเข้าเมื่อเติบโตจนประกอบอาชีพการงานมีหัวหน้างานมีเพื่อนร่วมงานมีน้องร่วมงาน ความจริงจังและตั้งใจจะประกอบการทุกอย่างอย่างตั้งใจเอาจริงสู้จนสุดใจไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ใดๆที่ขวางกัน ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใดเคยมีผู้คนก่อนหน้ากระทำนำทางไปก่อนหรือไม่ ต่อให้ต้องคิดค้นกำหนดแนวทางและบุกฝ่าไปก่อนเป็นผู้แรก หากเชื่อว่ามันจะนำไปสู่ความสำเร็จและเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่หวังพึงพาความรู้ความคิดของพี่น้อยแล้วเส้นทางนั้นจะมีพี่น้อยพยายามดั้นด้นไปอยู่เสมอ
โดยไม่เคยรู้มาก่อนว่าพฤติกรรมนั้นก่อผลต่อคนข้างเคียงจนในที่สุดก็ได้รับคำต่อว่าจากพี่ร่วมงานว่า "เธอเครียดเกินไปจนส่งอิทธิพลความเครียดต่อเพื่อนร่วมงาน" ด้วยความงุนงงยิ่งพี่น้อยกลับมาสู่ตนเองทบทวนว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ แล้วก็ค้นพบว่าด้วยเหตุที่ต้องการไปถึงเป้าหมายให้ได้นั้นแล้วพบว่าตัวเองฉุนเฉียวกับความไม่สบอารมณ์ง่ายมากและจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นไม่ได้เอาเสียเลย มันจึงส่งผลให้ตัวเองค่อนข้างไม่มีความสุขนักไม่ร่าเริง แม้ทุกครั้งที่พูดจากับใครๆก็มักได้รับเสียงหัวเราะจากเขาเหล่านั้นเสมอ (พี่น้อยจะเป็นคนที่คุยด้วยแล้วสนุก เป็นนักเล่าเรื่องที่มีมุกมีน้ำเสียงกิริยาท่าทางที่ตลกขบขันแฝงอยู่ในตัวเอง)
จากครั้งนั้นพี่น้อยจึงได้กลับมาตั้งคำถามกับตนเองว่าทำไมและจะทำอย่างไร ผ่านการคิดเอาเองว่าเมื่อฉุนเฉียวให้อดทนอดกลั้นไว้ ทำได้บ้างทำไม่ได้บ้างอยู่นานมากแต่ที่สุดแล้วเมื่อมันระเบิดออกมา ความแรงมากกว่าเดิมหลายสิบเท่านัก ที่สุดจึงได้รู้ว่าวิธีนี้ไม่ใช่ทางจัดการที่ถูกต้องแน่แล้ว จึงเริ่มหาแนวทางใหม่สับสนล้มลุกคลุกคลานอยู่นานยิ่งนับวันยิ่งเครียดเพราะความคาดหวังของตนเองต่องานที่ทำต้องการชนะต้องการความสำเร็จไม่สิ้นสุด
ไปวัดปฏิบัติธรรมก็แล้ว ก็ไม่สามารถปล่อยอะไรออกไปจากตนเองได้เลย ซ้ำยังเก็บทุกอย่างมาคิด เครียด เครียด เครียดและเครียดคิดหนทางที่จะทำงานให้สำเร็จตามที่คาดหวังไว้
จนกระทั่งวันหนึ่งกัลยาณมิตรท่านหนึ่งที่ค่อนข้างห่วงใยและยอมรับตัวตนของพี่น้อยได้มากที่สุด ในบรรดามิตรที่มีอยู่น้อยเต็มที มิตรแท้ท่านนั้นได้ชี้ทางสว่างแก่พี่น้อยโดยชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมกับเขา 3 วัน 2 คืนซึ่งเขาชวนมานานมากแต่พี่น้อยไม่ว่างเสียทีเพราะมัวแต่บ้างาน
เหมือนมีบุญที่สั่งสมมาแต่ปางก่อนคราวนี้พี่น้อยยินยอมตัดทุกอย่างออกไปก่อนแล้วไปปฏิบัติธรรมกับมิตรท่านนั้น แน่นอนในการไปปฏิบัติครั้งนั้นก็มีกิจกรรมที่ปกติผู้ไปปฏิบัติมักต้องทำคือสวดมนต์ ไหว้พระทำบุญใส่บาตรพระ นั่งสมาธิ เดินสมาธิ แต่ไม่ถูกบังคับให้กินมังสวิรัติแฮะงานนี้ถ้าจะกินก็เขี่ยออกเอาเอง (เธอเล่าให้ดิฉันฟังอย่างนั้น)
ไม่น่าเชื่อ! สิ่งที่พระอาจารย์ท่านสอนให้ทำทีละขั้นทีละตอน ค่อยๆฝึกกำหนดจิตให้อยู่กับตนเอง ค่อยสังเกตว่าเราคิดอะไรบ้างในเวลาไม่กี่นาทีที่ท่านกำหนดให้ มันจะทำให้เรารู้ว่าเรานี้หนอสับสนสุดๆคิดได้เป็นสิบๆเรื่องในเวลาไม่กี่นาที "บ้าจริงคิดเข้าไปได้ไงก็ไม่รู้แต่ที่บ้ากว่าคือ ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าเราสับสนขนาดนี้ และเพิ่งครั้งนั้นแหละที่ทำให้ได้รู้ว่าตัวเรานั้นเป็นอย่างไรใกล้บ้ามากแค่ไหน"
ที่น่าแปลกคือท่านอาจารย์ท่านไม่บอกว่าเมื่อคิดให้หยุดคิด แต่ท่านบอกว่าเมื่อจิตมันจะคิดก็ให้มันคิดไปแค่ให้เรารู้ว่าคิดเท่านั้น แปลกแต่จริง!!!!! “พอรู้ว่าคิดมันไม่คิดซะงั้น” และเมื่อลองใช้มันกับเรื่องอื่นๆด้วยเช่นอารมณ์ฉุนเฉียวที่เคยมี เฮ้ย!!! มันใช้ได้จริงๆแค่ถ้าจับได้ว่าเรามีอารมณ์ขุ่นเคืองเข้ามา อารมณ์เราจะเริ่มฉุนเฉียวแล้วถ้ารู้ทันมันก็ไม่มาแล้วจริงๆ ที่เคยเก็บเรื่องอะไรไม่รู้จำแนกไม่ได้มาคิดมันก็ไม่มาแล้วพี่น้อยเล่าว่าแรกๆก็มาบ้างหรอกนะพอรู้ทันเข้ามันหายไปเลย ไม่เห็นต้องบังคับให้ไม่คิดไม่โกรธเลย "ฮึๆๆๆไม่บ้าแน่แล้วเราลาก่อนความเครียด นานๆเจอกันทีแล้วกันนะ ลาก่อนมะเร็งหวังว่าเราจะไม่ได้เจอกัน"
จากการสนทนากันครั้งนี้ดิฉันก็หาเหตุผลดีๆที่จะตอบกับตัวเองได้แล้วว่าเราจะนั่งสมาธิกันทำไม สมาธิทำให้เรารู้ทันตัวเราไง
สมาธิทำให้เราปล่อยอะไรๆไปจากตัวโดยไม่ต้องบังคับมันไง (เช่นความเศร้าความติดยึดทั้งหลายทั้งติดดีและติดไม่ดีแหละ)
สมาธิทำให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะได้มากขึ้นไงไม่เสียเวลากับอดีตที่ผ่านไปแล้วแก้อะไรไม่ได้
สมาธิทำให้เราไม่กระโดดไปหาอนาคตที่ยังมาไม่ถึงไง เมื่ออยู่กับปัจจุบันก็ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แก้สิ่งผิดพลาดในอดีตไปในตัวจริงๆ ไม่ใช่เสียเวลาอาลัยอาวรณ์กับมัน พร้อมทั้งเรายังทำให้อนาคตให้ดีได้ด้วย ดังคำพระที่ว่า "หว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น
เย้ๆๆๆ ยิ้มสิคะ เศร้าไปทำไมตายแล้วไม่ได้ยิ้มนะจ๊ะ
เศร้าครับ เศร้ากับการรอคอยกับบางสิ่งบางอย่าง
ใช่แล้วค่ะ ยิ้ม ๆ :):) ขอบคุณค่ะ :)
ขอบคุณบันทึกดีๆครับ
ดีจังเลยครับ
จะเศร้าไปทำไม
มาแจ้งว่าบันทึกปลูกผักกินได้ เดือนตุลาคม มีมากกว่า 15 บันทึกครับ
แก้ไขให้หน่อยครับ
ได้ 39 บันทึกครับ
ผมนับได้ 39 เริ่มจากที่นี่ครับ
http://www.gotoknow.org/posts/549920
มาถึงบันทึกนี้ครับ