ข้าพเจ้าได้พระเนื้อดินแบบต่างๆมาเพื่อการศึกษา เป็นจำนวนมากพอสมควร มากพอที่จะเห็นความหลากหลาย และความแตกต่าง ทั้งในกลุ่มเดียวกัน และต่างกลุ่ม จึงทำให้ผมเริ่มมองเห็นและเข้าใจ “ภูมิปัญญาไทยที่ใช้ในการสร้างพระเนื้อดิน” มากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ตั้งแต่ผมตั้งจิตอธิษฐานว่า
“ขอให้ข้าพเจ้าได้พระเนื้อดินแบบต่างๆ เพื่อการเรียนรู้ เผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้อง และจรรโลงพระพุทธศาสนา”
และก็ได้เดินทางไปทำบุญ อุทิศแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และสัตว์โลกผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
ก็มีโอกาสได้พบเหล่ากัลยาณมิตรผู้ศรัทธาในพระเครื่อง แต่ไม่ได้วางตัวอยู่ในระบบพุทธพานิชจำนวนหลายท่าน
ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้พระเนื้อดินแบบต่างๆมาเพื่อการศึกษา เป็นจำนวนมากพอสมควร มากพอที่จะเห็นความหลากหลาย และความแตกต่าง ทั้งในกลุ่มเดียวกัน และต่างกลุ่ม
จึงทำให้ผมเริ่มมองเห็นและเข้าใจ “ภูมิปัญญาไทยที่ใช้ในการสร้างพระเนื้อดิน” มากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
และมั่นใจระดับที่มองเห็นภูมิปัญญาไทยในการใช้น้ำปูน น้ำว่าน และแร่เหล็ก ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมในการสร้างและรักษาพระเนื้อดิน
- ทั้งดินดิบ รักษาเนื้อด้วยน้ำว่าน
- ดินเผาธรรมดา
- ดินเผาเนื้อแกร่ง และ
- ดินเผาธรรมดาและเนื้อแกร่ง แต่เสริมเนื้อผิวให้แกร่งจากแร่เหล็ก
กรณีการใช้ดินดิบนั้น พบว่ามีสองแบบ คือ
-
พระดินดิบ ที่สร้างพระไว้ในที่ร่ม ในถ้ำที่แห้ง แต่ถ้านำออกมาถูกความชื้นหรือการจับต้องเนื้อจะยุ่ย ผุพังได้โดยง่าย และ
-
ดินดิบที่ทนทานต่อการผุพัง ที่พบเฉพาะในพระผงสุพรรณที่สามารถทนทานการกัดกร่อนและผุพังจากความชื้นของธรรมชาติได้ แต่เนื้อก็ยังอ่อน ไม่ค่อยทนต่อการจับต้องและสัมผัสขัดถู การใช้จึงต้องระมัดระวังพอสมควร
พระที่พบว่ามีการกร่อนมากในระยะยาว ทั้งการผุยุ่ยจากการซึมของน้ำก็คือ
พระเนื้อดินเผาธรรมดา ที่มักไม่ค่อยเหลือสภาพดีนัก มักแตกหัก กร่อนเสียสภาพเดิม และไม่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน ยกเว้นสำหรับนักโบราณคดี
สำหรับพระดินเผาเนื้อแกร่งที่จะกล่าวถึงนั้น
มีการใช้ความรู้ประสานกันทั้งชนิดดินเหนียว น้ำปูน และแร่เหล็ก โดยใช้พลังความร้อนเป็นตัวประสานเนื้อขั้นสุดท้าย
- ความรู้นี้น่าจะมาจากภูมิปัญญาการก่อสร้างอาคารโดยใช้ดิน ที่ต้องมีการเผาให้เป็นอิฐ
- และการปั้นอิฐให้แข็งได้ดีก็อาจคิดถึงน้ำปูน ที่ปัจจุบันเรียกว่า “อิฐประสาน”
- โดยการใช้ดินเหนียวผสมปูนอัดเป็นก้อนโดยไม่ต้องเผา
- แต่ถ้าเผา พลังปูนก็จะหมดไปกลายเป็นปูนสุก เนื้อยุ่ยพอง แตกสลายง่าย
- แบบเดียวกับตึกที่โดนไฟไหม้นานๆ จะพังทลายได้ง่าย
- หรือกำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา ที่โดนกองทัพพม่าก่อไฟเผาจนทรุด พังทลาย จนกองทัพพม่ายกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาสำเร็จเมื่อปี 2310
- ดังนั้น ถ้าจะเผา ก็ต้องมีแร่เหล็กเป็นตัวเข้ามาทำหน้าที่เกาะเกี่ยวแทน
- และเหล็กที่มีอยู่ในโครงสร้างของแร่ดินเหนียวเดิม อาจจะมีไม่มากพอ
- หรือ ถ้ามากพอ เช่นกรณีตัวอย่างของดินเผาด่านเกวียน เป็นต้น ก็จะเกิดดินเผาแกร่งได้ด้วยแร่เหล็กที่มีอยู่
- ถ้าไม่พอ ก็ต้องเสริมด้วยแร่เหล็กเข้าไปอีก
- ที่ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นแร่เหล็กทุติยภูมิ หรือแร่เหล็กเกิดใหม่ (Secondary iron minerals) ในกลุ่ม ลิโมไนท์ (Limonite) สีเหลืองฟาง หรือ เฮมาไทท์ (Hematite) สีแดง เพราะมีความร่วน ทุบบดละเอียดได้ง่ายโดยง่าย
- และจะต้องเผาถึงระดับที่เหล็กหลอมละลายเข้ามาทำหน้าที่นี้ได้
- สำหรับพระรอด ที่มีความแกร่งสูงสุดนั้น องค์ประกอบหลัก กลับเป็นแร่เหล็กปฐมภูมิ (Primary iron minerals) ที่มาจากหินภูเขาไฟโดยตรง ที่มีความแกร่งสูงมากกว่า บดได้ยากกว่า
- แต่ก็น่าจะบดจนเป็นฝุ่นผงละเอียดมากๆพอที่จะผสมดินเหนียวและน้ำปูนเป็นตัวประสานปั้นพระรอดที่มีขนาดเล็กและศิลปะคมละเอียดได้ขนาดนั้น
- จากลักษณะของสีเขียวหม่น ของพระรอดเนื้อเขียว อนุมานว่าน่าจะใกล้เคียงกับหินแอนดีไซท์ (Andesite) ที่ได้มาจากภูเขาไฟแถวนั้น
- เมื่อนำมาเผาด้วยความร้อนสูงมาก เหล็กจะหลอมละลายเกาะกันเป็นก้อนคล้ายหิน
- สำหรับองค์ที่โดนความร้อนน้อยลงมา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแร่เหล็กอาจจะยังไม่สมบูรณ์พอ จึงเป็นสนิมได้ง่ายหน่อย กลายเป็นผิวพระรอดแดงในระดับต่างๆ
- หรือบางองค์อาจจะยังไม่สุกดี ยังคงเป็นพระรอดดำ ผิวแดง
แต่สำหรับ
ดินเผาธรรมดา หรือเนื้อแกร่ง ก็ยังสามารถทำให้มีความทนทานได้
โดยการนำไปฝังแช่ในดินที่มีน้ำใต้ดินมีแร่เหล็กละลายอยู่
เช่นกรณีของพระกรุพระธาตุนาดูน
ที่แม้ดินเผาจะแกร่งหรือไม่ก็ตาม
ในที่สุดผิวนอกจะมีความแกร่งคล้ายๆกัน จากการเกาะของแร่เหล็กแบบ “หินลูกรัง”
ถ้าเป็นดินเผาแกร่งมาแต่เดิม วงการจะเรียกว่า “เนื้อมะขามเปียก” ที่จริงก็คือ เนื้อดินเหนียวปนทรายแดง ที่โดนความร้อนจนเหล็กหลอมละลายจนกลายเป็นพระเนื้อหินทรายแดง (จากสีแร่แหล็ก)นั่นเอง
พระกรุนาดูนนี้มีทั้งเนื้อไม่สุกทั้งหมด ยังมีไส้สีดำ
ทำให้คำอธิบายเกี่ยวกับพระรอดดำมีความน่าจะถูกต้องตามเหตุตามผลมากขึ้น เพราะมีลักษณะของเนื้อแบบหลายชั้นเหมือนกัน
โดยเฉพาะพระนาดูนนั้น มักนิยมตัดแบ่งเป็นองค์เล็กๆ จึงทำให้มีโอกาสเห็นเนื้อภายในได้ง่ายขึ้น เรียนรู้เกี่ยวกับพระเนื้อดินเผาเนื้อแกร่งได้ง่ายขึ้น
นี่คือผลการเรียนรู้ ภูมิปัญญาไทย จากการศึกษาพระเครื่องครับ