วันนี้ผมอยากเขียนบันทึกบ้าง รู้สึกว่าไม่ได้เขียนบันทึกมานานแล้ว ที่จริงแล้วเมื่อไหร่เปิดเครื่องคอมฯ ขึ้นมาก็ "เขียน" ตลอด แต่เป็นการ "เขียนโปรแกรม" ซึ่งสำหรับผมที่ชอบเขียนโปรแกรมนั้นผมไม่ได้มองว่าการเขียนโปรแกรมเป็นงานที่ต้องทำแต่เป็นกิจกรรมที่ผมสนุกกับการเขียนครับ
ผมโชคดีที่ได้ทำงานที่ตัวเองมีความสุขในการทำ ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อพบว่าสิ่งที่เรียนไม่สนุกชีวิตจะเป็นอย่างไร เดาเล่นๆ ว่าตอนนี้ผมก็คงเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีคนหนึ่งและในที่สุดแล้วก็น่าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะคนอย่างผมคงไม่สามารถมีชีวิตกับสีสรรวูบวาบของวงการธุรกิจได้มากนัก ชีวิตที่สุขสงบจะเหมาะกับผมมากกว่า
คิดแล้วก็ตลกที่ไม่ว่าจะคิดย้อนอดีตถึงเงื่อนไขใน "ทางแยกชีวิต" ไม่ว่าตอนไหนก็ตาม ดูเหมือนว่าชีวิตก็จะวนมาเป็นเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนที่มีทางแยกชีวิตที่หักมุมอย่างหนักๆ มากทีเดียว
ผมไม่รู้ว่าคนทั่วไปจะเป็นเหมือนผมหรือเปล่า แต่ผมสังเกตว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไปก็จะไม่ได้มีทางแยกชีวิตที่จะทำให้ชีวิตผกผันได้มากนัก คนที่มีทางแยกชีวิตที่สร้างความผกผันได้มากๆ ดูเหมือนจะเป็นคนส่วนน้อย หลายคนที่ผมอ่านประวัติชีวิตแล้วดูเหมือนจะถูกนำเสนอว่ามีความผกผันสูงแต่วิเคราะห์เข้าจริงๆ โดยองค์ประกอบล้อมรอบก็ไม่ได้ผกผันมากมาย อย่างไรเขาก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
ทำให้นึกถึงปรัชญาทางศาสนาในประเด็นหนึ่งที่แบ่งศาสนาเป็นสองพวกคือพวก "พรหมลิขิต" (destiny, fate) กับพวก "กรรม" (freewill, krama) ผมจำไม่ได้แล้วว่าหัวข้อของประเด็นนี้คืออะไร แต่เป็นหัวข้อถกเถียงกันมาตลอดพัฒนาการของศาสนาของมนุษยชาติ
ผมเองก็ไม่มีคำตอบว่าอะไรถูกต้อง ในบางเวลาก็เหมือนแบบหนึ่งถูก แต่ในบางช่วงก็เหมือนแบบหนึ่งจะถูกกว่า แล้วถ้าเรื่องนี้ถกเถียงกันมาเป็นพันๆ ปีพวกเราในยุคสมัยนี้ก็คงไม่เก่งพอที่จะหาคำตอบที่ถูกที่สุดได้ ทางที่ดีก็คือศึกษาความคิดทั้งสองแบบในฐานะผู้เรียนรู้ที่ดีกันต่อไปครับ
ผู้อ่าน ก็ไม่มีคำตอบที่ "ตายตัว" แต่ไม่ว่า Fate หรือ Krama ก็ิอยู่ที่ใจเรา จะทำใจ และ "ยอมรับ" อย่าง เข้มแข็ง + อดทน + สู้ สู้ นะคะ
เพื่อนๆ ทุกคน เป็นกำลังใจให้นะคะ
ขอบคุณบทความดีดีนี้นะคะ
อ่านแล้วชอบบันทึีกนี้ เพราะเคยขบคิดประเด็นนี้เช่นกัน
ส่วนตัวแล้ว ไม่เชื่อในเรื่อง พรหมลิขิต เพราะอยากทำอะไร อย่างไร ก็เลือกทำไปตามที่ชอบและผลมักจะเป็นไปตามที่คาดคิดไว้ (จะชอบ-ไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง)
แต่หลังๆ กลับมาคิดเล่นๆ แบบไม่ค่อยมีความรู้ทางทฤษฎีว่า บางที...
"อนาคตน่าจะเป็นตัวกำหนดปัจจุบัน" เสียแล้ว
อนาคต ในที่นี้ก็คือจินตนาการที่เราสร้างขึ้น ไม่ว่าจะด้วยรู้ตัวหรือไม่ และเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก (ซึ่งยอมรับกันแล้วในปัจจุบันว่าทรงอิทธิพลมากกว่าจิตสำนึก) และเป็นตัวผลักดันให้เราดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่สร้างไว้ในจินตนาการนั้น
คิดไปคิดมาก็ยังงงๆ และสับสนนิดหน่อย แต่คาดว่าคงชัดเจนขึ้นค่ะ เพราะหากครุ่นคิดในสิ่งใด ไม่ช้าก็เร็ว เรามักจะได้คำตอบนั้นเสมอ :)
แนวคิดที่คุณหยั่งราก ฝากใบเขียนทำให้ผมนึกถึงหนังสือ Zen and the Art of Happiness ครับ เป็นหนังสือดีเล่มหนึ่งครับ
สวัสดีครับ
แนวคิดแบบศูนยวาทน่าจะใช้ได้ คือ กรรมเป็นผู้กำหนดก็ไม่ใช่ มิใช่กรรมเป็นผู้กำหนดก็ไม่ใช่ ผมก็ยังงงๆ แต่พอจะได้ข้อสรุึปว่า ไม่มีเหตุที่จะกำหนดผลชนิดตรงๆ เจ๋งๆ เขาว่ามาอย่างนั้น...
ณ วันนี้ ผมเชื่อ "กรรม" อย่างเดียวครับ
Fate ทั้งหลายมาจาก กรรม แบบที่ผมมองหาข้อยกเว้นยังไม่ได้นะครับ
จึงพยายามทำกรรมดี เพื่อหนีกรรมไม่ดีที่เคยมี หรือแฝงมาให้มากที่สุดครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
ผมติดตามดูท่านและแอบฟังข่าวคราวมาตลอดครับ
จะเป็นอย่างไร ความไม่ทุกข์ที่แท้จริงยังอยู่เหนือกรรม ถ้าเราลด ตัวตนลงมา จนถึงระดับไร้ตัวตนแบบที่ท่านพุทธทาสสอนนะครับ
ชีวิตเราจะไร้น้ำหนัก และไร้ทุกข์ แม้กรรมจะยังคงมีเช่นเดิมครับ
ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าหลายๆ เหตุการณ์ในโลกนี้ก็อธิบายด้วยกรรมยากเหมือนกันครับ อย่างเหตุการณ์อุบัติภัยทางธรรมชาติใหญ่ๆ หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ถ้านึกในอีกมุมนั่นก็กรรมเหมือนกัน แต่ไม่ใช่กรรมในระดับบุคคล เป็นกรรมของเผ่าพันธุ์หรือกรรมของสาธารณะครับ