หลังจากที่ทำกิจกรรมเรียนรู้เกี่ยวกับ “ธุรกิจท่องเที่ยว” ในหลวงพระบางทั้งworkshop และออกไปสัมภาษณ์บริษัทท่องเที่ยวตามที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว ในบันทึกนี้ ธุรกิจที่เอื้อชุมชนมีจริงหรือไม่? คุ้ยเบื้องลึกจากเมืองลาว
กิจกรรมหนึ่งที่เป็นหนึ่งกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้เพิ่มเติมให้ภาพการมาศึกษาครั้งนี้สมบูรณ์คือ การเดินทางไปพักแบบโฮมสเตย์กับพี่น้องลาวที่หมู่บ้านเล็กๆสงบริมแม่น้ำคาน ผมเลือกไปที่บ้านเชียงล้อม ด้วยมีข้อมูลว่าที่นั่นมีการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนและเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทกลางป่าที่เป็นเครือข่ายของ tiger trail
เป็นภาพ Jigsaw ที่ผมอยากเติมหลังจากที่ผมไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ของ tiger trial มาแล้ว
ผมเดินทางออกจากหลวงพระบางเช้าวันที่สดใส เราเดินโดยรถตู้เล็กๆ เข้าไปยังบ้านเชียงล้อม ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ห่างจากหลวงพระบางไปทางทิศตะวันออกประมาณ 25 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำคาน
ไม่นานรถของเราก็เดินทางไปถึงบ้านเชียงล้อม สภาพหมู่บ้านก็คล้ายๆกับหมู่บ้านชนบทของไทยเรา แต่ดูเงียบๆ สอบถามชาวบ้านได้ความว่า กลางวันชาวบ้านออกไปดำนา ทำไร่
ท้าววงษ์ดาวอน จาก PTO. (การท่องเที่ยวแขวง หลวงพระบาง)เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ ของพวกเราในครั้งนี้ ได้พาพวกเราไปที่บ้านนายบ้าน(ผู้ใหญ่บ้าน) นำสัมภาระเก็บแล้ว มานั่งคุยกันว่าช่วงวันนี้ทั้งวันเราจะไปไหนกันบ้างก่อนที่จะมีพิธีต้อนรับบายศรีช่วงเย็นย่ำของวันนี้ นายบ้านท่านไม่อยู่ทราบว่าไปประชุมที่ในหลวงพระบาง
ไกด์พาเราเดินเที่ยวในชุมชน ชาวบ้านทักทายพวกเราอย่างเป็นกันเอง ด้วยว่าหน้าตา ภาษาพูดเราไม่ได้ต่างจากคนที่นี่เลย เราไปเที่ยววัดประจำหมู่บ้าน
มาเรื่องของ ”วัด” ผมชอบมากครับในส่วนของศิลปะในวัดของลาว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบโบสถ์ รูปแบบจิตกรรมฝาผนังที่ดูวิจิตรอ่อนช้อย คล้ายคลึงกับวัดเชียงทองในหลวงพระบาง
เชียงล้อมเป็นกลุ่ม “ลาวลุ่ม” เป็นคนลาวที่เป็นกลุ่มคนพื้นราบ ขนาดชุมชน 150 หลังคาเรือน อาชีพหลักเน้นการเกษตรครับ ทำนา ทำไร่ ทำสวน อาชีพรองก็เห็นได้ว่าเป็นท่องเที่ยว จุดเด่นของที่นี่เป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติสวยงาม มีน้ำตกตาดสีอันเลื่องชื่อ แม่น้ำคานที่เป็นวิถีของคนในชุมชน
เที่ยวในชุมชนจนหนำใจเราก็ออกเดินทาง เพื่อที่จะไปล่องเรือ เพื่อไปชม น้ำตกตาดสี ไกด์บอกว่า ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจากหมู่บ้าน นั่งเรือหางยาวเลียบเลาะไปกับแม่น้ำคาน ชมได้จากบันทึกนี้ครับเยือน "น้ำตกตาดสี" ผ่านแม่น้ำคานอันเงียบสงบที่เมืองลาว
หลังกลับมาจากน้ำตกตาดสี ส่วนหนึ่งของพวกเราก็ออกสัมภาษณ์ชาวบ้านเพื่อหาข้อมูลเชิงลึกในการจัดการการท่องเที่ยว ผมปลีกตัวไปนั่งเขียนงานเงียบๆที่บ้านนายบ้าน บรรยากาศเงียบๆต่างแดน แต่ก็ดูเหมือนคุ้นเคยแบบนี้ผมรู้สึกผ่อนคลายเป็นที่สุด
ย่ำค่ำ นายบ้านก็เดินทางมาถึง พวกเราทั้งหมดได้ทำความรู้จัก และแนะนำตัว นายบ้านได้แบ่งให้พวกเรานอนบ้านโฮมสเตย์ทั้งหมด 3 หลัง แบ่งๆกันไป ทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็ให้มารวมตัวกันที่บ้านนายบ้านอีกครั้งเพื่อทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ
กลางลานบ้านบายศรีขนาดใหญ่ อยู่ตรงกลางห้อมล้อมด้วยผู้เฒ่าชายหญิง ที่มีผ้าแพรเล็กพาดบ่า บรรยากาศที่มองจากข้างนอกเข้าไปดูน่าเกรงขามยิ่งนัก แต่ดูอบอุ่นด้วยรอยยิ้มของผู้เฒ่าทั้งหลายที่ยิ้มเจือด้วยความรักเอ็นดูพวกเรา เรานั่งคุยกันอย่างกันเอง ดูเหมือนความแตกต่างด้านเชื้อชาติไม่ได้เป็นอุปสรรค คิดว่านี่เป็นบ้านของผมด้วยซ้ำไป
เสียงหมอทำขวัญ ขับเพลงเรียกขวัญ ไพเราะและพอจับใจความได้ ว่า “ขวัญเอ๋ย เจ้าไปอยู่ไส จงมาหาตนหาตัวสามสิบสองขวัญอย่าได้หนีไกล” พวกเรานั่งล้อมวงพนมมือแต้ …ยิ้มละไม
จนกระทั่งเรียกขวัญจบ หมอทำขวัญให้พวกเราขยับเข้าเพื่อไปจับขอบขันโตกที่รองบายศรี และเรียกขวัญต่อ จากนั้นผู้เฒ่าก็มอบขนม กล้วยน้ำว้าลงไปในมือของพวกเราทุกคน และผู้เฒ่าที่อยู่ในพิธีก็ใช้ฝ้ายมัดมือให้กับพวกเรา ดังนั้นผู้เฒ่าทุกคนก็ต้องผูกมือพวกเราทุกคน บรรยากาศเจี้ยวจ๊าว ขยับตัวพัลวัลสนุกสนานดี ผมดูเหมือนจะได้ถูกผูกคอมือเต็มสองมือ (คล้ายแต่งงานใหม่เลย)
พ่อบ้านนำเหล้าขาวดีกรีแรง มาเสริฟเป็นระยะ ผมเข้าใจว่าเป็นพิธีรับแขก ผู้หญิงไม่ดื่มโค้วตาก็จะตกมาที่ผมทุกครั้ง กระดกแก้วแล้วแก้วเล่า เหล้าสาดลงลำคอร้อนไปยังกระเพาะ
ผมชักมึนๆแล้วสิครับ.....
หลังจากนั้นพ่อบ้านก็ทำพิธีมอบบายศรีให้ใครสักคนที่เขาอยากจะให้...เชื่อมั้ยครับ ว่าคนๆนั้น คือผมเอง ท่านบอกว่าจะได้โชคดีมีชัย ให้นำบายศรีไปเก็บไว้บนหัวนอนคืนนี้ ผมรับมาแบบมึนๆเต็มที เริ่มสูญเสียการทรงตัวเล็กน้อย ...ทั้งหมดก็ด้วยน้ำใจคนบ้านเชียงล้อม....เอิ๊ก- - -
หลังจากพิธีบายศรีสู่ขวัญเสร็จเรามีพิธีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน เพลงลาวเพลงไทย ในเลือดผมมีดีกรีจากเหล้าป่าที่พอที่จะร้องได้...คืนนี้จึงไม่เงียบเหงา ผมสนุกเต็มที่ตามเสียงเพลง เพลงแล้วเพลงเล่า นอกจากนี้ผมได้มีโอกาสชนจอกกับแม่ญิงลาว หลังจากผมชะโงกหน้าออกไปที่หน้าต่าง มีน้องสาวชาวบ้านบอกกระเซ้าผมเล่นๆว่า “มีผู้สาวสนใจเจ้า” แล้วชี้ไปที่สาวนางหนึ่ง เธอยิ้มและม้วนอาย
เอาละสิครับ...สนใจผมผมก็สนใจครับ 555
เธอชวนผมมาร่วมวงตำจอก ที่มีสาวๆหนุ่มๆ ชาวบ้านที่นั่งอยู่สองสามคนอยู่แล้ว ...ผมนั่งอย่างไม่ลังเล เพราะเราคือเพื่อนกัน ไมตรีที่ผมได้รับคืนนี้จากพี่น้องชาวลาว เรียกว่าไม่ขาดตกบกพร่องไปเลยแม้แต่นิดเดียว เสียงคุย เสียงแซวสลับกันไปพร้อมกับเสียงหัวเราะในค่ำคืน
“อ้ายคนเมืองไทย เว้าเก่งหลายเนาะ กลับคืนเมืองไทย ก็คงลืมน้องๆที่นี่หมด”
ผมจำได้ว่าเป็นเสียงกระเซ้าสนุกจากแม่ญิงลาวที่นั่งพูดคุยในวงตำจอก เธอเอ่ยเปื้อนยิ้ม ก่อนที่ผมจะลาขอตัวไปนอน...
เพราะบ้านเริ่มหมุนแล้ว...
มากไปกว่านี้หนุ่มไทยเสียฟอร์มแน่ครับ
ผมล้มตัวลงนอน และหลับทันทีที่หัวถึงหมอน