อนุทินล่าสุด


Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ปูนปิดทอง. กรุงเทพฯ : บำรุงสาส์น, 2 เล่ม.

บรรณานิทัศน์ : “ปูนปิดทอง”เป็นนวนิยายสะท้อนปัญหาครอบครัวในสังคมไทย ซึ่งตัวละครเอกคือ สองเมืองและบาลี ทั้งสองคนเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้าง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ บาลีศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในวัยเด็กและชักจูงให้สองเมืองลืมความขมขื่นในใจที่ผ่านมาและมาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ สองเมืองรักบาลีและมั่นใจว่าชีวิตคู่ของเขาและเธอจะไม่เป็นอย่างพ่อกับแม่ของพวกเขา  พวกเขาจะเป็นพ่อแม่ที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ใช่เป็นเพียงรูปหล่อปูนที่ปิดด้วยทอง ซึ่งไม่มีค่าอะไร



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ปณิธานกวี. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : กะรัต, 126 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : กวีนิพนธ์เล่มนี้จะพาให้คุณได้สัมผัสกับความงามทางการประพันธ์ บทประพันธ์ทุกบทสะท้อนชีวิต วิญญาณ คติชีวิต ปรัชญา และสัจธรรม ที่ชี้ให้เห็นถึงการยึดหลักทางพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องนำทางชีวิต การรู้แจ้งในความจริง การปล่อยวาง และการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว โดยที่ผู้เขียนได้นำแนวคิดเหล่านี้มาสอดแทรกร้อยเรียงเป็นบทกวี ที่ให้ผู้อ่านได้ซึมซับอย่างแยบยล



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ก่อกองทราย. พิมพ์ครั้งที่ 16. กรุงเทพฯ : นาคร, 175 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : รวมเรื่องสั้นทั้งหมด 12 เรื่อง เนื้อเรื่องมีลักษณะที่แสดงถึงชีวิตและธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นสากล แต่ก็มีสีสันของท้องถิ่นและความเป็นไทย ทั้งในด้านถ้อยคำและการใช้ฉากที่เป็นท้องเรื่องมีความหลากหลาย แสดงปัญหาและแง่มุมต่างๆ ของชีวิตความคิดความเชื่อของคนในชนบท และบางเรื่องก็แสดงถึงสัจธรรมของชีวิตโดยแท้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ตลิ่งสูงซุงหนัก. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ต้นหมาก, 192 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นนวนิยายที่ให้ข้อคิดและความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของควาญช้างที่มีฐานะยากจน ชื่อคำงาย ซึ่งคำงายนั่นทำงานให้กับพ่อเลี้ยง โดยเป็นควาญช้างลากซุง และแกะสลักไม้ ตอนที่คำงายยังเด็ก อยู่กับพ่อของเขามีช้างเชือกหนึ่งชื่อว่า “พลายสุด”คำงายรักพลายสุดมาก ต่อมาด้วยความยากจนพ่อจึงจำเป็นต้องขายพลายสุดให้กับพ่อเลี้ยง คำงายจึงหวังเสมอว่าเมื่อโตขึ้นจะต้องซื้อพลายสุดคืนมาให้ได้ พอโตขึ้นคำงายมีภรรยาชื่อมะจัน และลูกชายชื่อ เอ และได้เข้าทำงานกับพ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงให้คำงายทำงานเกี่ยวกับสตัฟฟ์ซากสัตว์ แต่คำงายขออนุญาตไปเป็นควาญช้างลากซุง ซึ่งคำงายมีความสุขที่ได้ทำงานกับพลายสุด ต่อมาพลายสุดได้โดนลักตัดงาทั้งสองข้างไป พ่อเลี้ยงได้เสนอให้คำงายแกะสลักช้างจากไม้ให้มีขนาดเท่ากับช้างของจริง เพื่อแลกกับการไถ่ตัวพลายสุด แต่ทั้งคำงายและพลายสุดได้มาจบชีวิตลงในขณะที่ทั้งคู่กำลังขนซุงขนาดใหญ่ พลายสุดได้พลาดตกจากตลิ่งสูง ทั้งคู่เสียชีวิตพร้อมกัน ผู้เขียนต้องการเน้นให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่มักแสวงหาความหมายและคุ่ณค่าของชีวิตและพบว่าทุกคนมีเกิดและตายอย่างละหนึ่งหน แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างกลางนั้นเป็นชีวิต เราต้องแสวงหาเอาเอง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ใบไม้ที่หายไป. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : อ่านไทย, 91 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : กวีนิพนธ์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเชิงบันทึกของชีวิตตอนหนึ่งของผู้ประพันธ์ระหว่าง พ.ศ. 2513-2529 ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาวัยรุ่นกลุ่มก้าวหน้ามีอุดมการณ์สูงสุด มีความใฝ่ฝัน มีปรัชญาชีวิต จวบจนกระทั่งได้ตระหนักถึงความจริงของชีวิตที่ว่าทุกชีวิตต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ดังเช่นชีวิตของผู้เป็นแม่นั้น ไม่เพียงกำหนดอนาคตของลูกเท่านั้น หากรวมทั้งชีวิตตนเองและผู้ใกล้ชิด



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

อัญมณีแห่งชีวิต. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : ภูผา, 239 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : หนังสือ “อัญมณีแห่งชีวิต”เป็นเรื่องสั้นชุดประกอบด้วยเรื่องสั้น 11 เรื่อง เนื้อเรื่องมีหลากหลาย เสนอปัญหาต่างๆ ของชีวิต ตั้งแต่ปัญหาชีวิตส่วนตัว ปัญหาครอบครัว สังคม จนถึงปัญหาที่กล่าวถึงวัฏจักรแห่งชีวิตอันเป็นสัจธรรมในการดำเนินชีวิต



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ครอบครัวกลางถนน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : มิ่งมิตร, 143 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่สะท้อนภาพชีวิตของคนชั้นกลางในเมืองหลวงที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนท่ามกลางความผันแปร ของสังคมปัจจุบัน การเผชิญปัญหาครอบครัว การเมืองและเศรษฐกิจ ในเล่มนี้มีเรื่องสั้น 13 เรื่อง ส่วนใหญ่แสดงภาพชีวิตและสังคมรอบตัวที่กระตุ้นให้ผู้อ่านสำนึกถึงบทบาทของตนในฐานะสมาชิกของสังคม รวมทั้งการนำปัญหาหลากหลายแง่มุมมาผูกร้อยเป็นเรื่องราว เช่น การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ความสัมพันธ์และความขัดแย้งของคนในครอบครัว ความเครียดที่ถูกสังคมบีบคั้นและเร่งรัด และความกดดันรุนแรงที่ไม่มีทางออก



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

มือนั้นสีขาว. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ย่ามหนังสือ, 80 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : รวมบทกวีนิพนธ์ไทยสมัยใหม่ ที่สร้างสรรค์ทั้งความคิดและวิธีการนำเสนอ มุ่งแสดงอุดมคติอันเชิดชู คุณค่า ความบริสุทธิ์และความมีน้ำใจของมนุษย์ กวีถ่ายทอดความคิดเป็นรูปธรรมที่เข้าใจได้ง่าย ผ่านบุคคลและเหตุการณ์สมมติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในชีวิติจริงและสังคมจริง แสดงความแตกต่างระหว่างสภาวะอันบริสุทธิ์ไม่แสแสร้งของเด็กกับสภาวะของผู้ใหญ่ที่ถูกครอบงำด้วยกรอบของสังคมในแต่ละบทกวี เสนอแง่ความคิดอย่างประณีต



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

เจ้าจันท์ผมหอมนิราศพระธาตุอินทร์แขวน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : คณาธร, 109 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นนวนิยายที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงล้านนา ภาษาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นภาษาถิ่น เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้องเรื่อง และผู้เขียนได้บอกความหมายของคำเหล่านั้นไว้ด้วยเนื้อเรื่องกล่าวถึงเจ้าจันท์ตัวเอกของเรื่องเป็นผู้เดินทางไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนพร้อมกับคู่หมั้นที่จะต้องแต่งงานกัน ระหว่างการเดินทางเจ้าจันท์ครวญถึงเจ้าหล้าอินทะ ซึ่งเป็นคู่รักด้วยความคิดถึง จุดประสงค์ของเจ้าจันท์ ในการเดินทางไปนมัสการพระธาตุอินท์แขวนในครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อตัดผมหอมที่บำรุงรักษามาห้าปีถวายบูชาพระธาตุปีเกิดแล้ว ยังตั้งใจจะปูผมหอมลอดพระธาตุและตั้งจิตบนพระธาตุว่าหากผมหอมนี้ปูลอดพระธาตุได้ นางจะกลับไปหาคนรัก หากปูลอดพระธาตุไม่ได้นางจะแต่งกับพ่อเลี้ยงซึ่งเป็นคู่หมั้น สุดท้ายเมื่อผมลอดไม่ได้เจ้าจันท์จึงได้ปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุนั้น แล้วตัดสินใจแต่งงานกับชายที่ไม่ได้หมายปอง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

เวลา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: หอน, 232  หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นนวนิยายที่เสนอเรื่องราวและแนวคิดในการดำเนินชีวิตที่หลากหลาย โดยในเรื่องมีตัวละครซึ่งเป็นผู้กำกับการแสดง เข้าไปนั่งดูละครเวทีเรื่องหนึ่งที่ได้เชื่อว่าน่าเบื่อในรอบปี ซึ่งเน้นละครเวทีที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานสงเคราะห์คนชราในโรงพักฟื้น เป็นการดำเนินชีวิตของคนชราที่อาศัยอยู่ที่นั่น โดยมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย มีเสียง “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริง”ดังจากห้องปริศนามาเป็นระยะเป็นปริศนาที่ให้ผู้อ่านคิดว่าห้องนั้นมีอะไร เรื่องราวดำเนินมาเรื่อยๆ จนมีตัวละครที่เป็นคนชราคนหนึ่งตาย ชื่อก็คือยายอยู่ ซึ่งแก่ตายอย่างสงบ ซึ่งการตายของแกเป็นการทำให้เรื่องราวเดินมาถึงจุดจบ เป็นการเฉลยห้องปริศนานั้น เมื่อเปิดห้องก็ไม่พบอะไรเลยกลับเป็นห้องว่างเปล่า ไม่มีเครื่องใช้ของใช้ที่ยืนยันว่าเคยมีคนอยู่เลย เป็นการจบเรื่องแบบให้ผู้ใด ได้คิดเองว่าห้องว่างเปล่านั้นคืออะไร



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ม้าก้านกล้วย. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : แพรว, 136 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นกวีนิพนธ์ไทยร่วมสมัยที่สะท้อนให้เห็นพลังชีวิตและจิตใจของคนชนบท ที่เข้ามาสู่เมือง เป็นความผูกพันของผู้เขียนที่ยังไม่ลืมถิ่นเก่าบ้านเกิด จึงเป็นสารถีขี่ม้าก้านกล้วยหนีโลกแห่งความแออัดแบบวิถีเมืองสู่โลกแห่งความงามธรรมชาติแบบวิถีชนบท



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

แผ่นดินอื่น. ปทุมธานี : นาคร, 376 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นประกอบด้วยเรื่องสั้น 8 เรื่อง สะท้อนปัญหาของชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ครอบครัว สังคม นำเสนอชีวิตหลากหลายด้วยแนวธรรมชาตินิยมสะท้อนความคิด ความเชื่อ คุณค่าและคตินิยมพื้นถิ่นอย่างลึกซึ้งและแหลมคม ชี้ให้เห็นว่าสังคมแม้ต่างวัฒนธรรม ต่างความเชื่อมนุษย์ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไมตรีสัมพันธ์ เป็นเรื่องสั้นที่มีคุณค่าทางวรรณศิลป์



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

 ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า,435 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นนวนิยายบันทึกเหตุการณ์จริงตามประวัติศาสตร์ในระหว่างเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง พุทธศักราช 2475 จนถึงพุทธศักราช 2535 เสมือนกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนภาพกงล้อการเมืองไทยในช่วงหกสิบปีที่ผ่านมา แนวคิดประชาธิปไตยที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุค ดุจดั่งเส้นตรงสองเส้นที่วิ่งขนานกัน ทำให้เกิดคำถามว่า จะมีบ้างไหมที่สักวันหนึ่งมันจะเบี่ยงตัวรวมเป็นเส้นเดียวกัน เพื่อความมั่นคงของประชาธิปไตยที่ชาวไทยทุกคนปรารถนา 



ความเห็น (1)

ได้ครับ..ถ้ามองทุกคนเท่าเทียมและเสมอภาคในทุกมิติ..ศักดินา..ลดลง..

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ในเวลา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: รูปจันทร์, 125 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นกวีนิพนธ์ที่แสดงความคิดแหลมคมด้วยเนื้อหาหลากหลาย นำเสนอความคิดอันเป็นสากล เป็นอกาลิโก และมีสุนทรีย์รสแห่งวรรณศิลป์ แม้บทกวีกล่าวถึงสิ่งธรรมดาสามัญใกล้ตัว แต่ด้วยชั้นเชิงการประพันธ์และความละเอียดซับซ้อน  ทำให้ผู้อ่านตีความได้หลายนัย ในเวลา จึงเป็นบทกวีที่ชวนให้อ่านอย่างไตรตรอง ผู้อ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึงและประจักษ์ในคุณได้ของสารที่ผู้เขียนนำเสนอ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

 สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : ดับเบิ้ลนายน์ พริ้นติ้ง, 334 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : รวมเรื่องสั้นที่ผู้เขียนเสนอแนวคิดเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับความเป็นคน ซึ่งมีพฤติกรรมแตกต่างกันไป อันเป็นผลจากปัจจัยภายในและภายนอกตามสภาวะธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางสังคม งานเขียนแบ่งเป็นสองส่วน คือ บทความและเรื่องสั้นที่นำเสนอเนื้อหาด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สามารถสื่อเรื่องราวและความคิดที่ซับซ้อน ลึกซึ้งด้วยอรรถรสที่สร้างอารมณ์และความรู้สึกที่กระตุ้นให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงปัญหาและเข้าใจแง่มุมต่างๆ ของพฤติกรรมมนุษย์ได้เป็นอย่างดี



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

อมตะ. พิมพ์ครั้งที่ 5. ปทุมธานี : สยามประเทศ, 222 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : อมตะ เป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่สมมุติเรื่องในอนาคต โดยแบ่งตัวละครเป็น 2 ฝ่าย 2 ทัศนะ ตัวละครฝ่ายหนึ่งเชื่อมั่นในหลักปรัชญาแห่งวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมว่าสามารถเป็นวิถีให้มนุษย์ไปสู่ความเป็นอมตะได้ด้วยวิธี “โคลนนิ่ง”ส่วนตัวละครอีกฝ่ายหนึ่งเชื่อมั่นในหลักปรัชญาแห่งศาสนาตะวันออก ว่าจะเป็นวิถีนำพามนุษย์ไปสู่ความเป็นอมตะได้ด้วยวิธี “วิปัสสนา”โดยการนำเสนอเรื่องของนักธุรกิจที่อยากอยู่ได้อย่างอมตะ จึงทำ “โคลน”มนุษย์ไว้ เป็นอะไหล่ของเขาเอง เมื่อส่วนใดเสื่อมก็ผ่าตัดเปลี่ยนเอาใหม่จาก “โคลน”ของเขาเอง เป็นการผูกปมให้ชวนติดตามด้วยความใคร่รู้ ทั้งเนื้อเรื่องและประเด็นวิวาทะ และการใช้ปรัชญาพุทธศาสนาเหมือนกับจะฉุดรั้งความคิดของคนสมัยใหม่ ที่ใช้ชีวิตในโลกยุคที่ยึดมั่นถือมั่นแต่วัตถุ เพราะความทันสมัยของเทคโนโลยี ให้กลับมาคำนึงถึง เรื่อง “ชีวิตจิตใจ”ซึ่งเป็นหัวใจของตัวตนมนุษย์



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

บ้านเก่า. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : รูปจันทร์, 119 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : บ้านเก่า เป็นหนังสือที่รวมบทกวีนิพนธ์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตคนในชนบทที่กำลังเปลี่ยนไปพร้อมกระแสบริโภคนิยมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความแตกต่างระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบท รวมถึงคุณค่าทางจิตใจและคุณค่าทางวัตถุ ที่กำลังเป็นปัญหาหลักที่สำคัญ โดยผ่านทางบทกวีที่สะท้อนสภาพสังคม และการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งผู้แต่งได้พบเห็นมาโดยเปรียบเสมือนภาพบ้านหลังเก่าๆ ที่ค่อยๆ เลือนหายไปเนื่องจากกระแสบริโภคนิยมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เข้ามาแทนที่ ซึ่งผู้แต่งได้สื่อสภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคมผ่านบทกวีได้อย่างชัดเจน

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ความน่าจะเป็น. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ : สุดสัปดาห์, 201 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : “ความน่าจะเป็น”เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องสั้นของปราบดา หยุ่น ถือเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง จำนวนไม่กี่คนที่มองโลกในมุมกลับ เขาใช้เวลาในช่วงที่เว้นวรรคจากการทำงานด้านศิลปะ มาคิดประดิดประดอยตัวหนังสือ เขียนภาพผู้คนและสังคมในจินตนาการออกมาด้วยสำนวนภาษาลุ่มลึก หากกวนอารมณ แสบๆ คันๆ  คล้ายโดนตัว “คุ่น”กัด ปราบดา เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่กล้ายิงคำถามพร้อมตั้งคำถามไว้มากมายที่คนทั่วไป ไม่เคยถามแต่ละคำถามเป็นคำถามที่ผู้คนไม่เคยคิดที่จะตอบ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนช่างคิด คิดในมุมมองที่แตกต่างไปจากคนอื่น จนทำให้รู้สึกว่าทุกคำถาม จากแง่คิดของเขาล้วนมี “ความน่าจะเป็น”ทั้งสิ้น “ปราบดา หยุ่น”เป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เหมือน 1 ในจำนวน 13 เรื่องสั้น ทั้ง 13 เรื่องนี้ ที่เขาเขียนไว้ว่า “อย่าเชื่อคำที่ออกมาจากปากคนอื่นจนเกินไปนัก เพราะมันไม่ตรงกับความเป็นจริง” 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ช่างสำราญ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : สามัญชน, 231 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นนวนิยายแสดงภาพชีวิตของเด็กบ้านแตกคือเด็กชายกำพล ช่างสำราญ ที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในชุมชนห้องแถวคุณแม่ทองจันทร์ เพราะแม่มีชู้ พ่อหอบน้องเงียบหายไป กำพลต้องกลายเป็นเด็กจรจัด เข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ มีผู้ปกครองหลายคน ดังนั้นเนื้อหาของเรื่องส่วนหนึ่งจึงเป็นเรื่องของชาวบ้านที่ชอบยุ่งเรื่องของเพื่อนบ้าน แต่ความเป็นจริงแล้ว ลักษณะนี้เป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมไทยแม้จะเป็นการยุ่งสอดรู้สอดเห็น แต่ก็แฝงไปด้วยความเอื้ออาทรที่มีต่อเด็กชายคนนี้

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

แม่น้ำรำลึก. กรุงเทพฯ : รูปจันทร์, 107 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นกวีนิพนธ์ที่นำเสนอภาพชีวิตของการย้อนความคิดของชายชรา กลับไปสู่ชีวิตช่วงในวัยเยาว์ โดยรำลึกย้อนผ่านสถานที่ ผู้คน เหตุการณ์และสรรพสิ่งรอบตัวให้ภาพที่สร้างขึ้นจากจินตนาการและประสบการณ์ เป็นบทกวีเล่าถึงเรื่องราวของความฝัน ความจริง ความสุข ความขัดแย้งที่กลมกลืนกัน มีเอกภาพ มีภาพชีวิตในวัยเยาว์เป็นปฐมบท และสรุปปิดฉาก ในปัจฉิมบท ซึ่งเป็นภาพของชายชราบนเก้าอี้โยกริมระเบียงที่บ้านชายน้ำในเวลาพลบค่ำ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

เจ้าหงิญ. กรุงเทพฯ : มติชน, 127 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : “เจ้าหงิญ”เป็นรวมเรื่องสั้น 8 เรื่องอาจอ่านแยกกันเป็นเรื่องๆ แต่ด้วยการเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ทำให้เรื่องสั้นแต่ละเรื่องกลายเป็นเรื่องสั้นในเรื่องยาว เป็นนิทานซ้อนนิทานที่เรื่องต้นกับเรื่องท้ายมาบรรจบกันอย่างแนบเนียน ผู้ประพันธ์สร้างตัวละครหลากหลาย ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ แบบนิทานเปรียบเทียบที่อุดมด้วยสีสันรวมทั้งการเล่นคำ โดยเฉพาะชื่อ “เจ้าหงิญ”ที่สื่อความหลายนับ และอารมณ์ขัน มีลีลาภาษาที่รุ่มรวยด้วยโวหาร เร้าจินตนาการและความคิด



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ความสุขของกะทิ. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ :แพรว, 118 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เป็นนวนิยายขนาดสั้น เล่าเรื่องราวของกะทิ เด็กหญิงวัย 9 ขวบ ที่อยู่ในสังคมแบบชนบทที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ซึ่งเป็นชีวิตอย่างที่ผู้คนจำนวนมากในเมืองต่างก็โหยหา แต่กะทิต้องผ่านประสบการณ์การสูญเสียครั้งสำคัญที่สุด เมื่อแม่ต้องจากไปก่อนวัยอันควรกะทิ ได้ผ่านขั้นตอนความสุขและทุกข์ ความผูกพันและการพลัดพราก ความสมหวังและการสูญเสียถึงกระนั้น กะทิได้เรียนรู้ว่าความทุกข์จากการสูญเสีย ไม่อาจพรากความสุขจากความรักและความผูกพัน ของแม่กับเธอได้ เด็กน้อยเติบโตขึ้นจากประสบการณ์นี้ด้วยความเชื่อมั่นและกำลังใจในการดำรงชีวิตต่อไปจากบุคคลใกล้ชิด ผู้ที่เธอรักและรักเธอ ความสุขของกะทิ เป็นนวนิยายที่สื่อแนวคิดซึ่งเป็นที่เข้าใจได้สำหรับผู้อ่านที่หลากหลายไม่ว่าอยู่ในวัยและวัฒนธรรมใด โดยสอดแทรกความเข้าใจชีวิตของตัวละครที่ได้เรียนรู้ไปตามประสบการณ์ ความสะเทือนอารมณ์จะค่อยๆ พัฒนาดิ่งลึกในห้องนึกคิดของผู้อ่าน นำพาให้ผู้อ่านอิ่มเอมกับรสแห่งความโศกอันเกษมที่ได้สัมผัสประสบการณ์ของชีวิตเล็กๆ ของเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

 โลกในดวงตาข้าพเจ้า. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : สามัญชน, 142 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : โลกในดวงตาข้าพเจ้า ของมนตรี ศรียงค์ เป็นบันทึกภาพความเคลื่อนไหวในชุมชนเล็กๆ ผ่านดวงตาพิเศษของกวี ด้วยมุมมองเฉพาะตัวที่โดดเด่น ผสมผสานกับการย้อนรำลึกเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนที่ผ่านมาในชีวิต สามารถทำให้เรื่องที่เป็นรูปธรรมเหล่านั้น โยงไปสู่ภาพสังคมโดยรวมได้ โดยถ่ายทอดไว้ในบทกวี ที่สรรหาคำ และการเรียบเรียงลำดับภาพความคิดด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

เราหลงลืมอะไรบางอย่าง. กรุงเทพฯ : นาคร, 238 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : เราหลงลืมอะไรบางอย่าง เป็นรวมเรื่องสั้นสิบสองเรื่องที่กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมและความเป็นไปของเหตุการณ์บ้านเมืองที่ทันสมัยในเชิงให้รายละเอียด นักเขียนเน้นความเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกของผู้คนทั้งในสังคมชนบทและสังคมเมือง ที่ถูกกลายกลืนดวยความเจริญของสังคมเมือง จากความละเมียดละไม ไปสู่ความหยาบกระด้างและในที่สุดความรู้สึกแบบสังคมเมืองก็ครอบคลุมสภาพจิตใจของชนบทไว้ได้อย่างสิ้นเชิง นักเขียนยังเลือกที่จะท้าทายอำนาจรัฐ ด้วยการตั้งคำถามบางประการผ่านตัวละครวิกลจริต นำเสนอภาพเมืองที่สกปรกเต็มไปด้วยสารพันปัญหา รวมทั้งมลพิษและอาหารขยะด้วยเรื่องเล่าของคนเก็บขยะ กล่าวได้ว่ารวมเรื่องสั้นชุดนี้โดดเด่นด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องในแบบเฉพาะตน คือตั้งคำถามกับปัญหาในลักษณะที่เป็นปัญญาชน นำเสนอสัญญะในเชิงเปรียบเทียบเว้นจากการสรุปหรือแนะทางออกด้วยการเปิดปลายให้ผู้อ่านขบคิดต่อคำถามเหล่านั้นเอาเอง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Chanakan Pamo
เขียนเมื่อ

ลับแลแก่งคอย. กรุงเทพฯ : แพรว, 444 หน้า.

บรรณานิทัศน์ : “ลับแล แก่งคอย”  เป็นนวนิยายที่กล่าวถึงเรื่องราวที่มีมิติอันซับซ้อนในตัวตนของลับแล วงศ์จูเจือ เด็กหนุ่ม วัยคะนอง  ซึ่งมีพฤติกรรมต่อต้านพ่อเลี้ยงของตนเอง อีกทั้งยังมีพฤติกรรมแปลกประหลาด ลับแลจึงถูกนำตัวไปรักษายังวัดป่าแห่งหนึ่ง ลับแลอยู่ในความดูแลของท่านเจ้าอาวาส ซึ่งเจ้าอาวาสมักจะให้ลับแลระบายความในใจและบอกเล่าประวัติความเป็นมาของตนเอง และครอบครัวตลอดหลังทำวัตรเย็นในทุกๆ วัน ซึ่งเป็นบทสรุปและจุดหักเหของเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้น นิยายเล่มนี้ การสื่อสารผ่านตัวอักษรของเนื้อเรื่อง  ทำให้ผู้อ่านเข้าถึงแก่นแท้ของตัวละคร ราวกับว่าพวกเขามีตัวตนอยู่จริง อาจเป็นเพราะ ผู้ประพันธ์พื้นเพเดิมเป็นคนแก่งคอย ทำให้บรรยายรากเหง้า ชาติพันธุ์ลักษณะภายในชุมชน สังคม ความเชื่อ เรื่องเล่า คำสอนทางศาสนา และวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น จากยุคอดีตและปัจจุบันบางส่วน  รวมถึงวัตรปฏิบัติของสงฆ์ได้อย่างถึงแก่นแท้ยิ่งนัก



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท