คุณคิดว่าเพราะอะไรเด็กไทยจึงโง่ขึ้น


จากการที่เป็นครู มา 10 กว่าปี และที่รับฟังข่าวสารทั่วไป เด็กไทย IQ ต่ำลง อ่านหนังสือไม่ออกมากขึ้น คุณธรรมจริยธรรมก็น้อยลง ทำไมเป็นเช่นนี้นะ.....ช่วยกันคิดหน่อยนะคะ .....ความคิดใครเจ๋ง จะแจกหนังสือการ์ตูน โลกของ ICT ฉบับจริง 5 เล่ม เป็นหนังสือการ์ตูนสีฉบับทำเองด้วยนะคะ


ความเห็น (3)

ไม่มีความเห็น


คำตอบ (1)

ครูกระต่าย
เขียนเมื่อ
not yet answered


ความเห็น (3)

คำเหล่านี้เป็น วาทกรรม ที่ขาดพื้นฐานแห่งการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่าง ยุคก่อน กับยุคนี้

เพราะตะก่อน เราไม่มีการวัดผล และเช็คผลมหาโหด ที่เป็นเครื่องมือของระบบทุนนิยม อย่างปัจจุบัน

เนื่องจากเมื่อก่อนอาจมีคนโง่ ไอคิวต่ำ มากกว่ายุคนี้ก็เป็นได้ เพราะไม่มีใครวัดผลอย่างจริงจัง

พอยุคนี้มีการสื่อสารที่ทันสมัยกว่าสมัยนั้น มนุษย์ไอคิวต่ำ ก็ปรากฎตัวผ่านสื่อ เรื่องอะไรที่ไม่ดี

ก็ปรากฎตัวแก่สื่อ จริง ๆ แล้วแค่การวัดสติปัญญาแบบไอคิวก็ผิดแล้ว ยุคนี้เป็นยุคแห่งพาหุปัญญา

มันไม่มีสติปัญญาแบบตรรกะด้านเดียวแบบเมื่อก่อนแล้ว ผลผลิตของคนยุคก่อนที่ไม่ได้วัดไอคิวก็

ดูจากระบบปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็แล้วกัน เป็นผลผลิตจากอดีตทั้งนั้น เรื่องของคุณธรรม

จริยธรรมก็เหมือนกัน แต่ก่อนก็ไม่มีใครวัดและไม่มีดัชนีอะไรชี้วัด ไม่มีสื่อมวลชนคอยจับผิดอะไร

เรื่องต่าง ๆ มันก็มีปัญหาเหมือนยุคนี้ มันไม่ดัง พอเปลี่ยนยุคแห่งการสื่อสารก็มีการเปิดโปงหรือจับผิด

มันก็กลายเหมือนว่ามันปีปัญหา ส่วนสติปัญญาที่เป็นผลผลิตดังกล่าวก็ดูสติปัญญาของชนชั้นนำอัน

น้อยนิด กับชนชั้นล่าง อันมหาศาลว่าเขาเหล่านั้นมีไอคิวเท่าไร

เด็กฉลาดขึ้นนะ

แต่ขี้เกียจมากขึ้น

พ่อแม่ตามใจลูก

ไม่อยากให้ลูกโต

ผมคิดว่าเรานิยาม คำว่า "โง่" กันไปเอง แท้จริงแล้วเพียงแค่ผลทดสอบด้าน IQ ต่ำลง และเราก็ไม่ทราบด้วยว่าแบบทดสอบ IQ นั้นได้มีการพัฒนาปรับปรุงไปตามบริบทช่วงเวลาหรือเปล่า? ส่วนเรื่องของการอ่านออกเขียนได้นั้นผมมีความเห็นว่ารูปแบบการเรียนการสอนที่ปรับเปลี่ยนไป เลยทำให้เด็กๆไม่ได้รับการฝึกฝนในเรื่องสมรรถนะด้านการจดจำอย่างเป็นกระบวนการ (ผมมีบทความเรื่อง จากนกแก้ว นกขุนทอง สู่พญาอินทรีย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่เคยเขียนไว้ลองเข้าไปอ่านกันดูนะครับ) เพราะเราคิดกันไปเองว่าการสอนให้เด็กๆเอาแต่ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองเป็นวิธีที่ล้าสมัย โบราณ และปัจจุบันสื่อการสอนที่พัฒนาไปอยากมากทำให้เด็กๆแทบไม่ต้องใช้การจดจำใดๆอีกต่อไป แม้กระทั่งวิชา เขียนไทย คัดไทย ก็ไม่ค่อยได้พบเห็นแล้ว แต่จะไปเน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยีกันเสียมากกว่า ผลที่ตามมาก็คือ ลายมือเด็กรุ่นใหม่ๆจะเปลี่ยนอัตลักษณ์ไปจากความเป็นไทยๆ

เรื่องคุณธรรมและจริยธรรมก็แทบไม่ต้องกล่าวถึงเลยครับ จุดนี้ผมมองว่าเป็นผลกระทบที่พวกเด็กๆได้มาจากคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะผู้ที่มีอิทธิพลกับเด็กๆโดยตรง ได้แก่ คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ที่เด็กใกล้ชิดและเลี้ยงดูเขามา ผู้ที่ทรงอิทธิพลทั้งหลายที่ผ่านให้เด็กๆเห็นทางสื่อด้านต่างๆ ต้องยอมรับว่าสภาพสังคมไทยในปัจจุบันเทียบกับในอดีตมีแนวโน้มที่จะแตกต่างกันมากขึ้นๆด้วยอิทธิพลของกระแสแห่งทุนนิยมที่ถาถมเข้ามา ในขณะที่คนในสังคมไทยเรายังไม่พร้อมที่จะรับสิ่งต่างๆเหล่านี้เขามาปรับเปลี่ยนวิถีจากความเป็นไทยๆของเรา แม้แต่ในบางประเทศที่เขาพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น เมื่อไม่กี่วันนี้ผมได้ดูข้อเท็จจริงในสารคดีที่เขาไปถ่ายทำเกี่ยวกับการใช้วิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นในเมืองหลวงยุคปัจจุบัน บอกตรงๆว่าตกใจมากๆครับ เพราะสิ่งที่ได้รับรู้มันไม่ใช่สิ่งที่ผมได้เคยรับรู้มาเมื่อ ๒๐-๓๐ ปีก่อนหน้าโน้น เรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยก็ว่าได้ครับ การให้ความสำคัญเรื่องสิ่งยึดเหนี่ยว เรื่องศาสนาของคนญี่ปุ่นในเมืองหลวงลดน้อยลงไปมาก และมากกว่าครึ่งก็เป็นคนไม่มีศาสนาด้วยซ้ำ แต่ยังดีอยู่อย่างหนึ่งว่าคนญี่ปุ่นส่วนมากนั้นยังใช้การตัดสินคุณค่าจากการกระทำของตัวเขาเองอยู่บนหลักของจริยธรรมที่ในอดีตพวกเขาได้ให้ความสำคัญและเคร่งครัดในเรื่องศาสนามากๆ

แนวทางการเยียวยาเด็กๆ

๑.เมตตาธรรมเท่านั้นครับที่เป็นเครื่องมือในการค้ำจุนโลก เราต้องมองทุกๆคนด้วยความเชื่อที่ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ที่ใฝ่ดี และพัฒนาให้เป็นมนุษย์ที่ดีต่อไปได้"

๒.เราทุกคนต้องยอมรับความจริงครับ อย่าหนีหรือเลี่ยงว่ามันไม่ใช่ปัญหาของเรา หรือคิดว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับตราบใดหากยังไม่ลงมือ

๓.ทุกคนต้องเปิดใจและยอมรับบ้างหากต้องมีสิ่งที่ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจ เพราะเรายังไม่ใช่ผู้บรรลุถึงขั้นปล่อยวางได้ ผมเชื่อว่าคนดีและพร้อมทำงานให้สังคม ให้ประเทศชาติมีมากนะครับ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่เขาก็มีสิทธิ์จะคิดได้ว่า "อยู่เฉยๆดีกว่าไม่เจ็บตัว"

๔.ให้ค่อยๆเริ่มจากการปฏิบัติในครอบครัวของเราก่อน เมื่อเรามีลูก ตั้งปณิฐฐานไปเลยครับว่า เราต้องเลี้ยงเขาให้ดีให้ได้ด้วยศักยภาพของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีอยู่ ความรวย ความจนไม่เกี่ยว อย่างไรเราก็ต้องดำเนินชีวิตตามอัตภาพอยู่แล้ว อาหารการกิน ทรัพย์สินเงินทองไม่ได้เป็นหลักประกันถึง "ความดี" ในตัวลูกเราได้ แบบอย่างที่ดีของพ่อและแม่เท่านั้นที่มีอิทธิพลกับความเป็นคนดีของลูก เมื่อเราทำในครอบครัวเราได้แล้ว ก็ค่อยๆขยายผลออกไป

๕.วิธีการปฏิบัติไม่จำเป็นต้องเป็นระบบแบบแผนมากมาย เพราะสิ่งต่างๆที่เราไม่ยกเขามาจากตะวันตกมันอาจจะไม่เหมาะกับเด็กๆของเราก็ได้ แต่หากจะนำมาใช้ก็ควรปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีไทยๆอย่างเราให้ได้เอาแค่สร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เด็กๆได้บ้างเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว (เราฉีดแต่ภูมิคุ้นกันโรคภัยทางกายให้เด็กๆ แต่ภูมิคุ้มกันทางจิตใจเราเคยฉีดให้เขาบ้างหรือไม่?)

คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องจดจำใส่จิตใต้สำนึกไว้เลยว่า ทุกการกระทำของลูกคือความรับผิดชอบที่ผู้ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ไม่ควรปฏิเสธความรับผิดชอบทุกกรณี อย่าโทษดินฟ้า อย่าโทษโชคชะตา อย่าผลักความรับผิดชอบไว้กับคุณครู อย่าโทษสังคม อย่าโทษคนอื่นๆ เพราะที่เขาเกิดมาได้เพราะคุณสองคนเท่านั้น

ขอบคุณคุณครูนะครับที่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท