25 พฤษภาคม 2550 ไปร่วมงานประชุมเชิงปฏิบัติการพิจารณาร่างแผนแม่บทการเงินการคลังเพื่อสังคม จัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังร่วมกับ มสช. สสส. พม.
งานนี้มีนักข่าวไปร่วมมากเพราะมีรัฐมนตรีถึงสองท่านคือ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อ.ไพบูลย์) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (อ.ฉลองภพ)
สิ่งที่เราสนใจนอกจากตัวแผนแล้ว ยังสนใจ ที่มาที่ไปของแผน และ อยากรู้ว่าเครื่องมือทางการเงินการคลัง ได้แก่อะไรบ้าง แต่เอกสารที่แจกมาให้อ่านก่อนจะมีเพียงวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ มาตรการบางประการซึ่งยังดูกระจัดกระจายเขียนมาเป็นตัวตั้งไว้พูดคุยเฉยๆ
ที่มาที่ไปของแผน
ทีมงานเล่าให้ฟังว่า แผนแม่บทฯ นี้ มีที่มาจากการพิจารณา แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 แผนแม่บทการเงินการคลังเพื่อสังคมฉบับที่ 1 (2540-44) แผนแม่บทการเงินฐานราก (ที่เพิ่งผ่านกระทรวงการคลังหลังจากทำงานกันอยู่ 2 ปี) และยุทธศาสตร์กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
มีการพิจารณากรอบของแผนแม่บทฯมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ 15 มีนาคม และหลังจากประชุมวันนี้แล้วก็จะไปฟังความคิดเห็นที่จังหวัดในภูมิภาคต่างๆ
สรุปว่า ที่มาของร่างแผนฉบับนี้ ไม่ได้มีข้อมูลเชิงวิชาการสนับสนุน แต่มาจากแผนที่มีอยู่และความรู้จากประสบการณ์ของผู้เข้าร่วม
เครืองมือทางการเงินการคลัง
โดยหลักการ ประกอบด้วย งบประมาณ ระบบภาษี บริการทางการเงิน การจัดการทรัพย์สินของรัฐ การเงินเพื่อช่วยเหลือสังคม ทั้งหมดนี้จะประมวลมาเป็นนโยบายสาธารณะ
ความคมชัดลึกของรองนายกฯ
ที่น่าสนใจสำหรับเราคือคำกล่าวของอาจารย์ไพบูลย์ ได้ความรู้มากทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และวิธีการทำยุทธศาสตร์...จากการฟังเพียง 30 นาที
ท่านกล่าวถึงข้อน่ายินดีที่ว่า การทำแผนแม่บทดังกล่าว เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์และเปลี่ยนยุทธศาสตร์การทำงานของนักการเงินการคลัง ที่มิใช่ทำหน้าที่เพียงแค่จัดการงบประมาณ หาเงินเข้าคลัง หรือประหยัดเงินงบประมาณ นอกจากนี้ยังเป็นการทำงานร่วมกับหลายฝ่าย และเป็นการทำงานที่เริ่มจากการคิดถึงสังคมที่พึงปรารถนา
ท่านกล่าวถึงสังคมที่พึงปรารถนาโดยยกเอาตัวอย่างแนวคิดของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ว่าสังคมที่พึงปรารถนาประกอบด้วย (1) สมรรถภาพ (อ.ไพบูลย์ตีความว่าเท่ากับความเข้มแข็ง) (2) เสรีภาพ (3) เป็นธรรมทางสังคม (4) ความเมตตากรุณา
ท่านเล่าให้ฟังถึงการทำแผนแม่บทฯฉบับที่ 1 ที่ท่านมีส่วนร่วมในขณะนั้นในฐานะเอ็นจีโอว่า มรว.จตุมงคล โสณกุล ในฐานะ รมต.คลังบอกว่าให้มีแค่ 2-3 มาตรการสำคัญ ซึ่งผลลัพธ์จากแผนแม่บทฯฉบับที่ 1 ก็ทำเพียง 3 เรื่อง คือ (1) พอช.ในปัจจุบัน (2) สสส (3) แนวคิดกองทุนประกันพืชผลการเกษตร (การจัดตั้งไม่สำเร็จเพราะขาดผู้ร่วมลงขัน มีแต่ ธกส.)
อาจารย์ไพบูลย์บอกว่า ผลลัพธ์ (output) เพียงสองเรื่องจากแผนแม่บทฉบับแรกส่งผลกระทบ (impact) ในวงกว้าง ท่านจึงอยากให้แผนแม่บทฉบับใหม่นี้ เลือกทำเรื่องสำคัญเพียงไม่กี่เรื่องที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
ท่านสอนว่า ไม่ควรเอาผลลัพธ์มาเป็นยุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์เหมือนการทำแผนการรบ อาจจู่โจมเพียงไม่กี่จุดสำคัญ ไม่ต้องดาหน้าทั้งกองทัพ ในยุทธศาสตร์ให้มีเพียง 2-3 มาตรการก็พอ
แล้วท่านก็เสนอมาตรการ 4 เรื่องที่ท่านเห็นว่าควรทำ (1) ภาษีทรัพย์สิน (2) ภาษีมรดก (3) ภาษีส่งเสริมการให้และอาสาสมัครเพื่อสังคม (4) ปรับกลไกการทำงานกองทุนประกันสังคมจากราชการสู่องค์กรมหาชน โดยยกตัวอย่างความสำเร็จของ กบข.
คุณศิริวรรณ เจนการ ผอ.มูลนิธิบูรณะชนบทฯ คนปัจจุบันเคยเล่าให้เราฟังในฐานะที่เคยทำงานใกล้ชิดกับอาจารย์ไพบูลย์ว่า อาจารย์ไพบูลย์ใช้คำว่า “คิดใหม่ทำใหม่” มาก่อนไทยรักไทยเสียอีก
ในที่ประชุมครั้งนี้ เราได้ฟังคำคมๆจากอาจารย์ไพบูลย์อีกครั้ง ท่านบอกว่า คนอาจมองว่าการทำสิ่งใหม่ๆเป็นความเสี่ยง แต่ “การไม่ทำอะไร ก็เป็นความเสี่ยงเหมือนกัน”
เดิมเราคิดว่า จะพูดถึงรายละเอียดของแผนแม่บท แต่ดูแล้ว ร่างที่มีขณะนี้กับแผนที่จะเกิดวันข้างหน้าอาจจะห่างไกลกันอยู่ ก็เลย “เก็บไว้ก่อน” ยกเว้นวิสัยทัศน์ที่เราคิดว่าคงจะไม่เปลี่ยนแล้ว ก็คือ "สังคมมีความสุข มีภูมิคุ้มกัน และสามารถพึ่งตนเองได้”
ไม่มีความเห็น