กลุ่มที่ 2 การเรียนการสอน
ผู้เล่าเรื่อง ..รศ.ดร. อรรณพ วราอัศวปติ
ตำแหน่ง อาจารย์หมวดวิชาศึกษาทั่วไป
สังกัดหน่วยงาน ฝ่ายวิชาการและวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม
เบอร์โทรติดต่อ 089-424-9989
Email-Address : [email protected]
เรื่องเล่าโดยสังเขป
ชื่อเรื่อง “การสอนวิทยาศาสตร์นิสิตการปกครองท้องถิ่น”
C: Content เนื้อหาของเรื่องที่จะเล่า เมื่อภาคเรียนที่ผ่านมาต้องร่วม สอนวิชา วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นวิชาศึกษาทั่วไป ที่นิสิตเกือบทุกหลักสูตรของ มหาวิทยาลัยมหาสารคามต้องลงทะเบียนเรียน นอกเหนือจากการสอนนิสิตภาคปกติแล้วยังต้องไปสอนนิสิตภาคพิเศษด้วย เรื่องที่จะนำมาเล่านี้เป็นการไปสอน นิสิตภาคพิเศษของสาขาวิชาเอก การปกครองท้องถิ่น ซึ่งมาเรียนกันเฉพาะในวันเสาร์และอาทิตย์ การจัดการเรียนการสอนจึงต่างจากภาคปกติ โดยจัดการเรียนการสอนแต่ละครั้งแบบใช้เวลาทั้งวัน แทนการสอนครั้งละคาบ ๆ ละ 2 ชั่วโมงเหมือนภาคปกติ ในการสอนครั้งนี้ผมต้องจัดการเรียนการสอนใน 3 หัวเรื่อง ด้วยกัน คือ เรื่อง วิวัฒนาการและพันธุศาสตร์ เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ และ เรื่อง มิติวิทยาศาสตร์กับภูมิปัญญาพื้นบ้าน นอกจากเรื่องของระยะเวลาที่แตกต่างแล้ว นิสิตภาคพิเศษกลุ่มนี้ยังเป็นนิสิตที่ประกอบด้วย คนที่ทำงานแล้ว มีความหลากหลายในเรื่องอายุ ประสบการณ์การทำงานของผู้เรียนมาก จำนวนนิสิต 98 คน ตามรายชื่อที่ได้จากระบบการลงทะเบียน Online ของมหาวิทยาลัย จึงต้องคิดวางแผนการจัดการเรียนการสอน ที่แตกต่างไปจากการสอนภาคปกติ เพื่อให้การเรียนการสอนเป็นไปด้วยดี และ เกิดผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์
A: Action วิธีการหรือแนวทางปฏิบัติที่นำไปสู่ความสำเร็จ เนื่องจากจะเป็นการพบกันครั้งแรกและครั้งเดียว คือ 1 วันเต็ม ๆ เพื่อการเรียนการสอนวิชานี้า ผมจึงเริ่มต้น ด้วยการแนะนำตัวให้นิสิตทราบสั้น ๆ และบอกกล่าวให้ทราบว่า เป็นการสอนวิชานี้เป็นปีแรกของผม จึงอาจจะแตกต่างกับการสอนของอาจารย์ท่านอื่นที่ผ่านมาก็เป็นได้ ต่อจากนั้นก็สอบถามถึง ข้อมูลเกี่ยวกับนิสิตพอสมควร จึงทราบว่านิสิตกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ทำงานใน องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต. มีทั้งที่เป็น นายก อบต. กรรมการ อบต. และเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ ของ อบต. จึงน่าจะมีความหลากหลายในเรื่องของประสบการณ์ต่างกันมากพอสมควร ผมเริ่มเข้าสู่การเรียนการสอนโดยนำเอาเทคนิค การจัดการความรู้ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยวิธีการ เล่าเรื่อง หรือ Storytelling มานำเสนอ เริ่มด้วยให้นิสิตได้เห็นภาพว่า ความรู้สองประเภท ได้แก่ ความรู้ชัดแจ้ง (Expicit Knowledge) และ ความรู้ฝังลึก หรือ ความรู้ในตัวคน (Tacit Knowledge) แตกต่างกันอย่างไร ? และ จัดการได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันอย่างไร ? และเน้นให้ทราบว่า ในวันนี้ ผมต้องการที่จะมา แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนิสิต และ กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระหว่างนิสิตด้วยกันเอง โดยการเล่าเรื่อง ที่เป็นความรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวนิสิตทั้งหลาย ที่เป็นคนทำงานแล้ว แต่ละคนย่อมมีความรู้จากประสบการณ์การทำงานที่แตกต่างกัน ก็จะได้มีโอกาสนำมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน นำไปคิดต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป หลังจากนำเรื่องด้วย Power Point ตามหัวเรื่องแรกแล้ว ผมได้เน้นประเด็นเรื่องความรู้ในเอกสารตำราหรือสื่อต่าง ๆ ที่เป็นความรู้ชัดแจ้ง สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ตามเวลาและโอกาสที่ตนเองสามารถกำหนดได้ แต่เรื่องความรู้ฝังลึกในคน ต้องเกิดมาจากการมีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนในกลุ่มเท่านั้น จึงขอให้ทุกคนใช้โอกาสนี้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยผมแบ่งนิสิตออกเป็น 8 กลุ่ม ๆ ละ 12 คน (ซึ่งลงตัวพอดี คือ 96 คน เนื่องจากมีนิสิตไม่สามารถมาเรียนได้ ในวันนั้น 2 คน) และมอบหมายงานให้นิสิตแต่ละกลุ่ม อภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันตามหัวข้อที่กำหนด และนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนให้นิสิตทั้งหมดได้รับทราบ หัวข้อที่กำหนดในช่วงแรก ตามที่มีในเอกสารที่อยู่ในคู่มือการเรียน เรื่อง วิวัฒนาการและพันธุศาสตร์ แล้วคือ ข้อดีข้อเสียของการใช้ จีเอ็มโอ (GMO) และ การโคลนนิ่ง (Cloning) รวมทั้งผลกระทบต่อประเทศไทย โดยให้ 4 กลุ่ม เลขคี่ ทำเรื่อง GMO ส่วนอีก 4 กลุ่มเลขคู่ ทำเรื่อง Cloning กำหนดให้ใช้เวลาในการอภิปรายและสรุปพร้อมเตรียมการนำเสนอ 1 ชั่วโมง และให้แต่ละกลุ่มเลือกตัวแทนออกมานำเสนอ กลุ่มละประมาณ 5 นาที เผื่อเวลาสำหรับตอบคำถามอีก 1-2 นาที (ใช้เวลารวมประมาณ อีก 1 ชั่วโมง) จบเรื่องที่หนึ่ง ก็ถึงเวลาพักเที่ยงพอดี ในช่วงบ่ายยังมีเรื่องที่จะต้องอภิปรายและนำเสนออีกสองเรื่อง คือ เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ และ เรื่อง มิติวิทยาศาสตร์กับภูมิปัญญาพื้นบ้าน ผมจึงนำเสนอด้วย Power Point ที่เตรียมมาควบทั้งสองเรื่อง และ ให้งานกลุ่มทั้งสองเรื่องไปพร้อมกันเพื่อให้ทันเวลาในเวลาที่เหลือ แต่ครั้งนี้จะเน้นให้แต่ละคนได้เล่าเรื่องของตนให้คนในกลุ่มฟัง คนละ 2-3 นาที แล้วแต่ละกลุ่มเลือกเรื่องที่ดีที่สุด ช่วยกันเพิ่มเติมเพื่อให้ออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน หัวเรื่องที่กำหนด 2 เรื่องคือ 1. สัตว์หรือพืชท้องถิ่นที่ข้าพเจ้าภูมิใจที่สุด 2. ภูมิปัญญาพื้นบ้าน หรือ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ข้าพเจ้าภูมิใจที่สุด โดยให้เวลาแลกเปลี่นเรียนรู้ ประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนออกมานำเสนอ
R: Result ผลสำเร็จที่เกิดขึ้น จากการจัดการเรียนการสอนตามที่เล่ามาข้างบน ผมคิดว่าเกิดผลสำเร็จในการเรียนการสอนครั้งนี้พอสรุปได้ดังนี้สรุปเป็นคำสั้น ๆ ว่า การเรียนการสอนครั้งนี้ “งานได้ผล คนเป็นสุข”คือ ทำให้เกิดการเรียนการสอนเรื่องของวิทยาศาสตร์ แก่นิสิตที่ไม่ใช่ผู้มีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์โดยตรง ได้เรียนรู้เรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อย่างไม่เครียด ในเรื่องที่กำหนดครบถ้วน ในเวลา 1 วัน นิสิตได้เห็นความเชื่อมโยงของวิทยาศาสตร์กับเรื่องราวและข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือทีวี ในชีวิตประจำ เห็นความสำคัญของความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตในท้องถิ่น และ ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ควรช่วยกันรักษา ที่ว่า คนเป็นสุข นั้นผมสอบถามนิสิตในตอนท้าย ว่าจากการจัดการเรียนการสอนของผม ตลอดหนึ่งวัน เป็นอย่างไร ? ก็ได้คำตอบว่า ดีครับ และ เป็นการเรียนการสอนที่ไม่เครียด ได้เปลี่ยนบรรยากาศในการเรียน หลาย ๆ คนชอบการที่ให้เล่าเรื่องที่ตนเองภูมิใจ ทั้งพืชหรือสัตว์ที่ภูมิใจ และ ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ภูมิใจ แต่ละคนมีความสุขในการเล่าเรื่อง (อันนี้ผมสังเกตเองในช่วงที่ให้แต่ละคนผลัดกันเล่าเรื่องให้กลุ่มฟัง)
เรื่องเล่านี้ใช้หลักการบริหารจัดการที่ดีหลักใดบ้าง ( ต้องให้ผู้อ่านและฟังช่วยกันตัดสินครับ )
o หลักคุณธรรม
oหลักนิติธรรม
oหลักความโปร่งใส
oหลักการมีส่วนร่วม
oหลักความคุ้มค่า
o หลักการสำนึกแห่งความรับผิดชอบ
o หลักการจัดการทรัพยากรมนุษย์
o หลักการบริหารจัดการ
o หลักการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
o หลักการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เป็นครูวิทยาศาสตร์ ประถม แต่ไม่ได้เรียนสายวิทย์ สนใจแนวคิดมิติวิทยาศาสตร์พื้นบ้าน ของอาจารย์สำหรับทำหลักสูตสาระเพิ่มเติม ขอรายละเอียดและ เอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไหมคะ ขอบคุณล่วงหน้า