Frank Ellis and Stephen Biggs (2001) ได้แบ่งยุคของการพัฒนาชนบท (ในระดับสากล) หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ออกเป็น 5 ช่วงเวลา ได้แก่
n ทศวรรษ 1950 ช่วงหลังสงคราม (Post war)
n ทศวรรษ 1960 ช่วงของการทำให้ทันสมัย (Modernization)
n ทศวรรษ 1970 ช่วงของการแทรกแซงโดยรัฐ (State intervention)
n ทศวรรษ 1980 ช่วงของการเปิดตลาดเสรี (Market liberalization)
n ทศวรรษ 1990 ช่วงของการมีส่วนร่วมและการสร้างพลังชุมชน (Participation and Empowerment)
พวกเขาสรุปว่า ในช่วงสามสิบปีหลังสงคราม หรือช่วงทศวรรษ 1950-70 เป็นยุคของการพัฒนาแบบบนลงล่าง (top-down approach) หรือการพัฒนาแบบพิมพ์เขียว (blueprint approach) ที่มีแนวคิดของ “การพัฒนาให้ทันสมัย (Modernization)” โดยรัฐเป็นผู้มีบทบาทสำคัญนับตั้งแต่การฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม การเข้ามากำหนดแทรกแซง หรือแม้แต่ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเสียเอง (ของไทยก็เกิดเผด็จการทหารที่คุมรัฐวิสาหกิจ สัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ และอื่นๆ)
ตั้งแต่ทศวรรษ1980-90 เป็นต้นมา เป็นยุคของการพัฒนาจากฐานราก (bottom-up, grassroots approach) หรือการพัฒนาโดยให้ความสำคัญกับกระบวนการ (process approach) โดยในช่วงต้น คือ ทศวรรษ 1980 ภาคเอกชนเข้มแข็ง และรัฐเริ่มถอนตัวออกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เกิดเป็นยุคของการเปิดตลาดเสรี (Market liberalization) แต่กลไกตลาดที่มีภาคเอกชนในเมืองเป็นตัวจักรสำคัญก็ยังไม่สมบูรณ์ ชุมชนจึงเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น (Participation and Empowerment) ในยุค 1990s
หากพิจารณาประสบการณ์การพัฒนาชนบทของไทย ก็จะพบว่า แนวทางของเราไม่ต่างจากแนวทางในระดับสากลเท่าใดนัก (ซึ่งจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป) แสดงว่าการพัฒนาชนบทไทยที่ผ่านมา ถูกเหนี่ยวนำจาก (หรือปรับตัวตาม) การเปลี่ยนแปลงบริบทเศรษฐกิจและสังคมโลก กรอบใหญ่ๆของแนวคิดการพัฒนาชนบทของผู้กำหนดนโยบาย นักคิดและนักเคลื่อนไหวของไทยก็ได้รับอิทธิพลมาจากภายนอกมากทีเดียว
ยกเว้น “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่น่าจะเรียกได้ว่า มีความเป็นไทยอยู่สูง
อ่านไม่ยากเคยค่ะ ขอบคุณมาก
สิ่งที่เราคุยกันตอนนี้มีสองส่วน คือ สิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ควรจะเป็น คิดว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็อยู่ในข่ายของกระแสท้องถิ่นอย่างที่ธรว่าค่ะ
พอดีตอนที่พี่เขียนสรุปมันข้ามช็อตไปหน่อย เพราะในใจมีรายละเอียดของบางแนวคิด เช่น Sustainable Livelihood Approach หรืออื่นๆซึ่งสิ่งที่ฝรั่งพูดถึง ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่นักคิดไทยในแนวกระแสทางเลือกพูดถึงอยู่มากๆ เช่น ศักดิ์ศรี สิทธิชุมชน
ส่วนเศรษฐกิจพอเพียงแม้มีฐานคิดอยู่ในข่ายกระแสท้องถิ่นนิยม แต่ก็มีปรัชญาศาสนาพุทธเข้ามา จึงทำให้มีความเป็นไทยสูงกว่า และอยู่บนฐานวัฒนธรรมไทยมากกว่าค่ะ
ขอบคุณมากที่เข้ามาแลกเปลี่ยนค่ะ
วันนี้จะไปร่วมสัมมนาเรื่อง แผนแม่บทการเงินการคลังเพื่อสังคม แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังนะคะ
อ้อ ขอเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่า ข้อดีของการแบ่งแบบ Ellis and Biggs ก็คือ ทำให้เห็นตัวละครหลักชัดดีค่ะ
สวัสดีครับ
ประเทศไทยก็ไม่ได้หลุดไปจากกรอบคิดการแบ่งยุคของการพัฒนาดังกล่าว
ผมเห็นด้วยอย่างมากว่า การพัฒนาในเมืองไทยนั้นตกอยู่แก่นักการเมือง และระบบราชการ การเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เป็นงานพัฒนานั้นภาคประชาชนแม้จะมีบทบาทมากขึ้นในช่วงหลังมาจนถึงปัจจุบัน แต่โครงครอบใหญ่ก็ยังไม่สามารถสลัดหลุดไปจาก นักการเมือง และราชการ ลองหยิบมาสักชิ้นสิครับ 2 ภาคส่วนดังกล่าวต้องมีบทบาทอยู่ด้วย
ผมเคยร่วมงานกับ Dr. Kewin Hewison สมัยทำงานกับ MPW & COFFEE ที่ ขอนแก่น เป็นนักวิชาการที่ใกล้ชิดเมืองไทยมากท่านหนึ่ง ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว
น่าสนใจบันทึกนี้ที่ตรงกับสิ่งที่ผมทำอยู่ครับ ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆมาเติมเต็มให้กับผม
ขออภัยที่เขียนชื่อ Dr. Kevin Hewison ผิดไปครับ
ขอบคุณคุณบางทรายที่มาร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์ค่ะ
ไม่ทราบว่า สิ่งที่อาจารย์ธรเขียนเล่ามุมมองของนักมนุษยวิทยาที่ว่า Empowerment กับ Participation นี่เอาเข้าจริงก็ไม่ Work เหมือนกัน เพราะกระบวนการมักตกเป็นเครื่องมือของ "การเมือง" นั้น อยากฟังความเห็นว่า เพื่อนชาวบล็อกท่านอื่นที่มีประสบการณ์ทำงานในพื้นที่มีความเห็นอย่างไร
อยากฟังความเห็นของคุณภีมค่ะ เพราะคุณภีมมีประสบการณ์ทำงานกับหลายฝ่าย ถ้าอ่านบันทึกนี้แล้ว ช่วยตอบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
อาจารย์ธรคะ
ความคิดเห็นและข้อมูลที่มาร่วมแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันเป็นประโยชน์เสมอค่ะ
มุมมองของนักวิชาการตะวันตกที่ทำงานในโลกตะวันออกมีความน่าสนใจตรงเขามีวิธีคิดเชิงระบบดี แต่เขาย่อมมีข้อจำกัดในการทำความเข้าใจพื้นที่บ้างไม่มากก็น้อย
ขนาดนักวิชาการไทย พูดภาษาไทยถ้าไม่คลุกคลีกับพื้นที่จริงๆก็ยังมีโอกาสตีความพลาด หรือได้ข้อมูลไม่ลึกจริงๆ
แต่อย่างที่ธรว่า คือเราสามารถคิดตาม (เห็นด้วย /ไม่เห็นด้วย) และคิดต่อได้
ถ้ามีเวลาก็เขียนมาคุยกันอีกนะคะ กลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ ถ้าจังหวะเหมาะ จะชวนอาจารย์ลงพื้นที่ด้วยกันค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์เอก
หลังทศวรรษ 1990 ก็คงยังอยู่ในกระแส empowerment และ participation มังคะ
พี่ด้วงที่สมาคมหยาดฝนบอกว่า "ไม่ใช่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะจริงๆแล้วประชาชนเป็นเจ้าของ (คงหมายถึงอำนาจอธิปไตย สิทธิเหนือทรัพยากร) รัฐต่างหากที่ต้องเข้ามาเป็นฝ่ายมีส่วนร่วม"
ใครจะเป็นเจ้าของใครจะเป็นผู้ใช้บริการ ก็ไม่รู้ แต่ดิฉันเห็นว่า ถึงที่สุด สังคมต้องเป็นสังคมที่เกื้อกูลกัน ทำหน้าทีของตนให้สมบูรณ์ ให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีของกันและกัน .....