รหัสชีวิต
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เซกชั่น กายใจ
วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2550
รมณ รวยแสน
ผู้เขียน
ผู้นำคือผู้รับใช้
<p>ชื่อของ วิศิษฐ์ วังวิญญู นักเขียน นักแปลหนังสือหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่เขาแปลคือ ‘ดวงตะวันดวงใจฉัน’ เขียนโดย ติช นัท ฮันห์ หรือหนังสือที่เขาเขียนเองอย่าง ญาณทัศนะแห่งการเข้าถึงตัวตนที่แท้จริง ‘มณฑลแห่งพลัง’ </p> <p>ในหนังสือ “มณฑลแห่งพลัง” ของสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา มีคำนำที่เขียนถึงวิศิษฐ์ไว้ว่า “คุณวิศิษฐ์เป็นปัญญาชน นักคิด และกระบวนกร (วิทยากรที่เน้นกระบวนการกลุ่ม) ที่นำเสนอความคิดอ่านใหม่ๆ สู่สังคมไทยเสมอ อาทิ วิทยาศาสตร์ใหม่ แนวคิดเรื่องฟิสิกส์และจิตวิญญาณ ในด้านการศึกษาทางปรัชญาแนวคิด ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนแนวพุทธศาสตร์ แนววอดอร์ฟ แนวมองเตสเซอรี่ แนวซัมเมอร์ฮิล ฯลฯ” </p> <p>มณฑลแห่งพลัง เป็นหนังสือที่วิศิษฐ์เขียนจากประสบการณ์หลากหลายของเขาในการจัดเวิร์คชอปและการสนทนาวิสาสะที่เกิดจากการฟังอย่างลึกซึ้ง (dialogue) </p> <p>กิจกรรมเวิร์คชอปว่าด้วยมณฑลแห่งพลัง เขาได้เรียนรู้การก้าวข้ามของชีวิตผู้คนธรรมดาที่มีพลังอันกระจัดกระจายมาสู่ชีวิตที่ตื่นตัวทั่วพร้อมด้วยพละกำลังอันยั่งยืน </p><p> ก่อนหน้านั้นวิศิษฐ์ใช้ชีวิตเพื่อการเรียนรู้และแสวงหา และใช้เวลาร่วม 10 ปีทำธุรกิจหลายอย่าง ไม่ว่าคอมพิวเตอร์หรืออสังหาริมทรัพย์ เขาเรียกชีวิตช่วงนั้นของตัวเองว่า เข้าไปอยู่ใต้ท้องปลาวาฬ (ฝรั่งเปรียบเป็นความชั่วร้าย) ทั้งหมดไปได้ไม่สวยนัก แต่ก็ทำให้เขาได้เรียนรู้มาก </p><p></p><p>ปัจจุบันวิศิษฐ์ใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงรายเป็นเวลา 8 ปีแล้ว เคยใช้ชีวิตช่วงหนึ่งเพื่อเรียนรู้และแสวงหา ก่อนจะหักเหเข้าสู่การทำธุรกิจ แต่งงานครั้งที่สอง และเลี้ยงดูบุตรชาย 1 คน </p><p>หลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิต เขาตัดสินใจที่จะไม่ใช้ชีวิตที่เหลือในวงจรธุรกิจต่อไป ค่อยๆ ตัดความทะยานอยาก แล้วกลับมาใช้ชีวิตอีกอย่างตามแบบที่เขาบอกว่า ไม่ถึงกับจน </p><p>“จะไปทำงานเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจต่อก็ได้ แต่ผมเบื่อแล้ว ถ้าประสบความสำเร็จแล้วเพื่ออะไร ตอนนี้ผมอายุ 52 ปี ก่อนจะทำธุรกิจผมอยู่กับชีวิตเรียนรู้แสวงหามานานกว่า 30 ปี ทำธุรกิจตอนอายุ 33 ปี แต่งงานตอนอายุ 36 ปี เลิกทำธุรกิจตอนอายุ 42 ปี ค่อยพลิกชีวิตกลับไปอย่างเดิม” วิศิษฐ์ ให้สัมภาษณ์ ในโอกาสหนึ่งที่เชียงราย</p><p> “ภรรยาผมเคยทำงานที่หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น จบธรรมศาสตร์เป็นนักกิจกรรม” วิศิษฐ์ เอ่ยถึงภรรยาของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว และการเสียชีวิตนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาไม่ต้องมีเหตุผลในการประนีประนอมเพื่อทำธุรกิจต่อไป</p><p></p><p> “สิ่งสุดท้ายประการเดียวที่เธอขอกับผมก่อนจากลา ก็คือ ขอให้เลี้ยงและอบรมลูกชายเพียงคนเดียวที่มีอยู่ให้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เธอกล่าวว่าทรัพย์สมบัติอื่นใดในโลก หาสำคัญไปกว่าการทำการกิจข้อนี้ไม่” คำอุทิศผู้แปลในหนังสือ ดวงตะวันดวงใจฉัน </p><p>8 ปี ในเชียงราย วิศิษฐ์ ช่วยก่อตั้งโรงเรียนแนวมองเตสเซอรี่ ชื่อ ปิติศึกษา ตอนนี้เปิดสอนเป็นปีที่ 6 - 7 แล้ว ช่วยก่อตั้งมูลนิธิสังคมวิวัฒน์ ล้อกันกับจิตวิวัฒน์ที่กรุงเทพฯ ให้คนหนุ่มทำหน้าที่ประธาน ส่วนคนรุ่นเขาทำหน้าที่รับใช้ </p><p></p><p>“งานที่ทำทั้งหมดของสถาบันขวัญเมืองอยู่ในมูลนิธิสังคมวิวัฒน์ สร้างองค์กรขึ้นมารับใช้คน คนแก่รับใช้คนหนุ่ม ชอบใช้คำหนึ่งว่า ผู้นำคือผู้รับใช้ ทำงานอย่างมีความสุข ทำงานโดยเชื่อในสติปัญญาร่วม ไม่เชื่อใน Private Ownership ไม่เชื่อในลิขสิทธิ์ ต่อไปเขียนหนังสือใส่ชื่อมูลนิธิแทน ตัวตนมันจะหายไป จริงๆ แล้วที่คิดมีสติปัญญาอยู่ทุกวันนี้ ผมยืนอยู่บนบ่ายักษ์ใหญ่หลายคน ส.ศิวรักษ์, ท่าน ติช นัท ฮันห์, เจ้าคุณปยุต (พระพรหมคุณาภรณ์ : ป.อ.ปยุตฺโต) ผมมีกัลยาณมิตรดีๆ หลายคน แล้วเวลาเราคุยกัน ความคิดดีๆ เยอะเลย แล้วมันเป็นของใคร มันเป็นสังคมนิยมแล้วนะ มันเป็น Collective” </p><p></p><p>เมื่อขอให้ วิศิษฐ์ เล่าถึงที่มาที่ไปของความสนใจทั้งเรื่องธรรมะและการเรียนรู้เพื่อแสวงหาสิ่งใหม่ๆ เขาเล่าย้อนถึงวัยเด็ก </p><p>“ผมเป็นเด็กกำพร้า ความเป็นเด็กกำพร้าทำให้ช่างคิด แสวงหาอะไรใหม่ๆ เริ่มต้นจากการแสวงหาความอบอุ่น ชอบอ่านหนังสือ คิดใคร่ครวญ เป็นเด็กช่างคิด เด็กกำพร้าจะมีอยู่อย่างคือ ต้องฝึกอ่านใจคน ต้องไปอาศัยเขาอยู่ ครอบครัวผมดี น้าๆ หลายคนรักผมเหมือนลูก เลี้ยงเหมือนลูก แต่เราก็รู้ว่าเราไม่ใช่ลูก เราก็แสวงหา” </p><p>อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ การเติบโตมาจากสังคมพุทธจากยาย เขาเล่าว่า ยายไปวัด วัดธรรมดาๆ ไม่ใช่วัดปฏิบัติ เป็นวัดบ้านนอกทั่วไป แต่มีความสุขสงบประหลาด วัดสมัยเด็กๆ ของเขาไม่ได้วุ่นวายอย่างสมัยนี้ สมัยก่อน ดูธรรมดา สงบเรียบง่าย เวลาเข้าวัดจะมีความสุข </p><p>นอกจากนี้ก็เก็บเกี่ยวด้วยการอ่านหนังสือดีๆ หนังสือของท่านพุทธทาส เขาอ่านตั้งแต่เรียนอยู่ม.ต้น และทำกิจกรรมตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แต่ไปช่วยทำค่ายยุวชนสยามของโรงเรียนสวนกุหลาบ พอทำกิจกรรมก็เบื่อเรียนหนังสือ เข้าเรียนมหาวิทยาลัยมหิดล เขาแทบไม่ได้เรียนและไม่ได้สอบ จึงตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยและออกจากบ้านมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง ด้วยการเขียนหนังสือ แปลหนังสือ ขณะนั้นอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ทำสำนักพิมพ์เคล็ดไทย เขาก็เข้าไปเขียนบ้าง แปลบ้าง และร่วมทำกิจกรรมในองค์กรพัฒนาต่างๆ </p><p>และเขาก็ได้พบกับ ติช นัท ฮันห์ ในปี 2518 </p><p></p><p>“ก่อนปี 2519 เวียดนามแตก ตอนนั้นผมเจอท่านที่วัดผาลาด มีการจัดประชุมผู้นำศาสนา เขารบกัน เราก็มาหาแนวทางสันติวิธี อาจารย์ (ส.ศิวรักษ์) ให้ผมไปอยู่ดูแลท่าน กุฏิก็เล็กนิดเดียว ดูแลท่านก็เหมือนท่านดูแลเรา ตอนนั้นผมอายุ 22 ปี ท่าน ติช นัท ฮันห์ อายุประมาณ 50 ปี” </p><p></p><p>เขา เล่าว่า เวลาที่ได้เจอคนเจริญสติภาวนา มีความสงบ มีคุณสมบัติบางอย่างอยู่ในตัว เป็นการเรียนธรรมะโดยไม่ต้องพูดกัน </p><p></p><p>“อยู่เฉยๆ ก็ซึมเข้ามา ท่านก็เมตตาเรา ตอนนั้นก็ตื่น 3 เดือน เห็นอะไรก็งดงามไปหมด เขียนหนังสือก็ดี เขียนกวีก็ดี ชีวิตก็ลงตัว ความอดรนทนไม่ได้มันหมดไป แฮปปี้มาก เห็นอะไรก็สวยงามไปหมด แล้วเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถ้ามีอยู่ในตัว ก็จะงอกงามในตัวเรา ท่านก็เขียนหนังสือหลายเล่ม พวกเราแปลกันหลายเล่ม ที่เห็นแปลมีอยู่เกือบ 20 เล่ม ในเมืองไทยขายดี ผมแปลเล่มหนึ่ง ดวงตะวันดวงใจฉัน” วิศิษฐ์ เล่าถึงส่วนหนึ่งในชีวิต </p><p></p><p>อีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับธรรมะคือ เรื่องการสืบต่อ โดยเฉพาะปณิธานของท่านพุทธทาสและเจ้าคุณปยุตฯ ทั้งสองท่านเห็นว่า ธรรมะต้องอยู่กับการดำรงชีวิตตามปกติธรรมดา ไม่ได้มีไว้บนหิ้งเท่านั้น การอภิปรายในครั้งหนึ่งของท่านพุทธทาส และม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อประมาณปี 2512 -2513 ที่หอประชุมคุรุสภา </p><p>ครั้งนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ พูดถึงธรรมะระดับโลกุตรว่า นำมาปฏิบัติไม่ได้ ชาวโลกมันมีความโลภ มันมีแรงขับท่านคิดในแง่เศรษฐกิจ ส่วนท่านพุทธทาสบอกว่า ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน นิพพานต้องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทำงานก็ต้องมีความสุข ต้องมีสติปัญญา </p><p>ข้อคิดนั้นผนวกรวมกับการอ่านอื่นๆ ของ วิศิษฐ์ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางใด ไม่ว่าจะอหิงสาของคานธีหรือเศรษฐศาสตร์แบบชูมาร์คเกอร์ นั่นก็มีธรรมะ และต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ในวิทยาศาสตร์หรือในการบริหารจัดการ </p><p></p><p>“ธรรมะไม่ได้อยู่บนหิ้ง ต้องอยู่ในเลือดเนื้อ ลมหายใจ อยู่ในสิ่งละอันพันละน้อย ในการดำรงชีวิตอยู่ของเราทั้งหมด พวกนี้ไปทำงานกับจิตไร้สำนึก ขยายความจิตไร้สำนึก อย่างมานั่งร้านสวยๆ งามๆ จิตไร้สำนึกได้รับการดูแล จิตไร้สำนึกของเราสัมผัสสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา นั่งอยู่ในสถานที่แตกต่างกัน การคุยจะไม่เหมือนกัน ถามว่าเกี่ยวกับจิตสำนึกหรือไม่ ไม่นะมันเกี่ยวกับจิตไร้สำนึก” </p><p></p><p>วิศิษฐ์ พูดในตอนท้ายของการสนทนาครั้งนั้นว่า </p><p></p><p>งานของผมคือ เขี่ยผงออกจากลูกตาคน “คนมีคุณภาพ แต่ความเป็นไปของสังคม ความเชื่อของยุคสมัย มันไปขวางกั้นธรรมชาติของมนุษย์ วิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์ งานผมคือเขี่ยผงออกจากลูกตา เขาต้องโตเอง เห็นเอง เราช่วยนิดหน่อย กิจกรรมผมโดยทั่วไปจะพูดน้อย แต่จะให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง พอคนค้นพบตัวเอง คำพูดจะไพเราะและมีพลัง”</p>
ติดตามอ่านผลงานอาจารย์กันทั้งบ้านด้วยความชื่นชมค่ะ.....รออ่านผลงานอาจารย์อย่างจดจ่อค่ะ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ติดตามผลงานอาจารย์ เพื่อบ่มเพาะตนเองคะ