วิพากษ์แผนแม่บท KM & LO ของ กฟผ.
ผมต้องขอขอบคุณที่ทีมงานยกร่างแผนแม่บทการพัฒนาหน่วยงานไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ของธุรกิจผลิตไฟฟ้า
กฟผ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณนภดล
สุขสำราญ และคุณนภนีรา แสงสุริยะ
ที่กรุณาให้ความไว้วางใจและความเชื่อถือได้อ่านเอกสารนี้
และให้เกียรติผมในการให้ความเห็นต่อแผนแม่บทนี้
ผมอ่านเอกสารทั้ง 3 ชุดที่ส่งให้ผมทางอี-เมล์
ด้วยความตื่นตาตื่นใจและชื่นชม
เป็นเอกสารแผนแม่บท KM ระดับองค์กรที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดที่ผมเคยเห็น
และผมเองก็ไม่มีประสบการณ์การเขียนแผนแม่บท KM ขององค์กรใด ๆ
เลย ดังนั้นข้อคิดเห็นของผมคงจะมีข้อจำกัดมาก
วัตถุประสงค์
“เพื่อให้บุคลากรในทุกหน่วยงานของธุรกิจผลิตไฟฟ้า
เกิดการเรียนรู้และบริหารจัดการความรู้ให้เป็นระบบอย่างต่อเนื่อง
จนปฏิบัติได้เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในชีวิตประจำวัน
นำไปสู่การยกระดับองค์ความรู้และขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร”
เป็นข้อเขียนวัตถุประสงค์ที่ยอดเยี่ยมมากครับ
และ
“สิ่งที่ต้องทำให้เกิดเพื่อให้แผนธุรกิจข้อนี้บรรลุผล” รวม 8
ประการก็ยอดเยี่ยมครบถ้วนดีมาก
ผมแทบจะไม่มีข้อคิดเห็นที่จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้แก่เอกสาร 53
หน้านี้ แต่ไหน ๆ
ก็ได้รับความไว้วางใจให้ช่วยเสนอแนะ
ผมจึงขอส่งการบ้านดังนี้
1. ในภาพรวม
แม้เอกสารนี้จะยังเขียนไม่เสร็จ เพราะบทที่ 5
ยังมีเฉพาะหัวข้อ ยังไม่มีรายละเอียด
ก็ถือได้ว่าการจัดทำเอกสารทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ดังนั้นหัวใจของความสำเร็จจึงจะไปตกอยู่ที่การแปลงแผนสู่การปฏิบัติ
โดยเน้นที่กุศโลบายในการทำ change management
ที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เข้ามาร่วมเป็นเจ้าของแผนและกระบวนการขับเคลื่อนแผนนี้
และให้คนที่เข้ามาร่วมได้รับประโยชน์ในปัจจุบันทันที
ไม่ให้เกิดการกระแสต่อต้านเพราะรู้สึกว่าเป็นการเพิ่มงานหรือเพิ่มภาระ
2. คำขวัญ
“ทดแทนบุญคุณหน่วยงานด้วยวิชาการที่ท่านมี”
ดูจะเป็นการบอกว่าแผนงานนี้เป็นแผนงานที่องค์กรต้องการ “เอา”
จากพนักงาน
ไม่ทราบว่าเหมาะต่อบรรยากาศและความรู้สึกของพนักงานแค่ไหน
ผมจึงมีความเห็นว่า KM & LO ส่งผลประโยชน์ในลักษณะ
“องค์กรครึ่งพนักงานครึ่ง” จะมีคำขวัญที่สะท้อนภาพนี้อย่างไร
3. ผมชอบแนวคิด “CFT – Cross Function
Team” มาก แต่สงสัยว่าการกำหนด CFT
โดยใช้หัวข้อความรู้เป็นหลัก
กับกำหนดโดยใช้หัวข้อเป้าหมายผลสำเร็จของงานเป็นหลัก
อันไหนจะดีกว่ากัน ผมชอบแบบหลังมากกว่า
เพราะจะทำให้เห็นผลต่องานง่ายกว่าและเป็นกลไกให้เกิดการไหลเวียนของความรู้ข้ามสายงานข้ามวิชาชีพ
โดยมีเป้าหมายการเอาชนะปัญหาหรือการสร้างผลงานร่วมกันเป็นกลไก
4. หัวใจอีกประการหนึ่งคือ
ทำอย่างไรให้แผนงาน 12
แผนมีการดำเนินการในลักษณะประสานกันจนเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
ไม่เป็นการดำเนินการแบบแยกส่วน ต่างแผนต่างทำ
ซึ่งจะยิ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่ามีการเพิ่มงาน
5.
ในเอกสารและอ่านระหว่างบรรทัด ผมรู้สึกว่ายังไม่ได้เน้น
synergy
ที่จะเกิดจากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การมี CFT
และกลไกอื่น ๆ ยังไม่ชัดเจนว่าทีมแกนนำในการดำเนินการ KM & LO
จะมียุทธศาสตร์ให้เกิด synergy อย่างไร
6. ผมชอบ KM Forum
ซึ่งจะจัดปีละครั้ง และชอบ “ธนาคารปัญญา”
และมีความเห็นว่า KM Forum ซึ่งเป็นการ ลปรร. แบบ F2F
ควรเชื่อมโยงกับกลไก ลปรร. แบบ B2B หรือแบบผ่าน IT
ซึ่งมีการระบุไว้ในแผนแล้ว
แต่ยังไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างกลไก ลปรร. 2 แบบนี้
และในทำนองเดียวกัน “ธนาคารปัญญา”
ควรมีการดำเนินการแบบที่เห็นความเคลื่อนไหวเข้าออกของความรู้
มีร่องรอยการเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้
ยกระดับความรู้ แล้วเอามาเข้า “ธนาคาร”
หมุนเวียนเป็นพลวัต
7. ความรู้สึกว่ามี threat
ร่วมกันยังไม่ค่อยชัด ผมสงสัยว่าพลัง
“ทดแทนบุญคุณหน่วยงาน” เพียงพอหรือไม่ที่จะขับดัน
ควรหาทางนำ threat ต่อองค์กรที่เวลานี้มีคู่แข่ง
เข้ามาเป็นพลังขับดันด้วยหรือไม่
8. แผนพัฒนาระบบการทำงานให้รองรับ KM
ยังเป็นแผนจัดเก็บความรู้มากเกินไป
การจัดเก็บความรู้ต้องพอ ๆ กับ re-use, และ re-define
ความรู้
ยกระดับความรู้ผ่านการเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้งาน
นอกจากนั้นควรเน้น “ผลลัพธ์”
ในลักษณะที่พนักงานที่ได้สร้างสรรค์ผลสำเร็จเกิดความ
ภาคภูมิใจ (pride) ตนเองและทีมงาน
พนักงานเกิดความรู้สึกเคารพนับถือเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน
คือมองผลลัพธ์ที่ trust & respect
ระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วย
9.
แผนการพัฒนาศักยภาพทีมงานบริหารจัดการ LO
ของทุกสายงานและผู้รับผิดชอบแผนงานตามแผนแม่บท
การฝึกอบรมควรเน้นการฝึกทักษะให้มาก
อย่างน้อย ๆ ก็เท่า ๆ กับภาคทฤษฎี โดยควรจัด workshop
ให้ฝึกปฏิบัติจริง
ให้ได้เรียนรู้จากการได้สัมผัส KM
ของจริง การทดลองแสดงบทบาทจริงในฐานะ
practitioner, facilitator และ mentor
ควรฝึกวิทยากรภายในไว้ทำหน้าที่ฝึกอบรมโดยการจัด
workshop ร่วมกับวิทยากร
ภายนอก
10. แผนปรับปรุงระเบียบการบริหารงานบุคคล
ควรนำเนื้องานแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้มาเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาภาระงานและผลงาน
และควรให้น้ำหนักความสำเร็จระดับทีมงานมาเป็นความดีความชอบระดับบุคคลด้วย
11. ผมชอบแผนจัดสัมมนาวิชาการ 2 ปีต่อครั้งมาก
โดยมีความเห็นว่าควรเชื่อมโยงกับภายนอก เช่น
มหาวิทยาลัย กิจกรรมด้านบัณฑิตศึกษา
และรวมทั้งเชื่อมโยงกับต่างประเทศด้วย
การสัมมนาวิชาการ 2 ปีครั้งควรเสริมด้วยกิจกรรมวิชาการย่อย ๆ 1 – 2
เดือน/ครั้ง
เช่น invited speaker, special seminar ตามหัวเรื่องของ
strategic knowledge และจัดให้เป็นกลไกเสริมการสร้างความรู้โดยการ
ลปรร. ในงานประจำ
12. แผนติดตามและประเมินผล ควรตรวจสอบ impact
ต่อผลงาน, impact ต่อคน, impact
ต่อวัฒนธรรมองค์กร, impact ต่อกระบวนการ ลปรร.
และที่สำคัญควรหาทางให้กระบวนการติดตามประเมินผลมีลักษณะเป็น
empowerment evaluation ให้มากที่สุด
13. ผมชื่นชมต่อแผนแม่บท KM & LO ของธุรกิจผลิตไฟฟ้า กฟผ.
นี้มาก และยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่
เช่น
ยินดีไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทีมงานยกร่างแผนฯ,
ยินดีจัดทีมไปจัด workshop ฝึกอบรมทักษะบางอย่างที่ สคส.
พอจะมีประสบการณ์ ฯลฯ เป็นต้น
สรุป จุดสำคัญอยู่ที่การบริหารงาน
ให้เกิด win – win ประจักษ์จริง ๆ
ต่อพนักงานและต่อองค์กร
ผมอยากเห็นแผนแม่บท 5 ปี (2548 – 2552) ของ กฟผ.
ได้รับผลสำเร็จ
ประสบการณ์นี้จะมีคุณค่าต่อสังคมไทยมาก
วิจารณ์ พานิช
25 ก.ย.48