การขอเป็นชำนาญการ และเชี่ยวชาญ ต่าง ๆ ของสาย ข และ ค รวมถึงผลงานทางวิชาการของสาย ก ต้องใช้เวลาและขั้นตอนในการดำเนินงานเป็นเวลานานมาก ส่วนใหญ่ 1 ปี ขึ้นไป เพราะฉนั้น ท่านใดที่จะขอและอยู่ในเกณฑ์ที่ขอได้ อย่ารอช้าค่ะ...รีบทำให้สำเร็จ รีบส่งนะคะ...มหาวิทยาลัยเราจะได้มีบุคลากรที่มีตำแหน่งพ่วงท้ายเยอะ ๆ และมหาวิทยาลัยจะได้มีความน่าเชื่อถือ และมีคนเข้ามาศึกษามาก ๆ
และเงินเดือนจะได้ไม่เต็มขั้น แถมเงินประจำตำแหน่งอีกต่างหากค่ะ...
ขออนุญาตท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์ ในข้อคิดเห็นนี้นะครับ ถึงแม้ผมจะเป็นเพียงพนักงานปฏิบัติการ ไม่ใช่ข้าราชการก็ตาม
เรื่องมีว่า ตอนไป ukm10 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 26-29 พค 50 ในขณะนั่งรถ ได้มีโอกาสคุยกับผอ.กองท่านหนึ่งเรื่อง "กรอบชำนาญการ" ซึ่งประเด็นมีอยู่ว่า
การกำหนดกรอบชำนาญการนี้มีผลดีหรือไม่ต่อการพัฒนาศักยภาพ หรือความก้าวหน้าของบุคลากรที่ต้องอยู่ในระเบียบนี้จริงหรือ?
ข้อสรุปในการคุยกันคือ ถ้าเปลี่ยนจาการใช้กรอบนี้ มาเป็นการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำน่าจะดีกว่า การกำหนดโค้วต้าของคนในละแต่สายงาน เช่น งานนี้ ผู้ทำจะเป็นชำนาญการ หรือ เชี่ยวชาญได้ ต้องมีเพียง 2 คนเท่านั้น ถ้าคนที่จะมาเป็นต่อไปต้องรอก่อน
ทำให้หลายๆคนที่จะต้องเข้าคิวๆต่อไปหมดกำลังในการทำผลงาน หรือสร้างสรรค์งาน
สรุปง่ายๆ ก็คือ ไม่ใช้วิธีอิงกลุ่ม แต่ใช้ อิงเกณฑ์น่าจะมีผลดีกว่า
นี้เป็นข้อสรุปในวงการคุยกันแบบไม่เป็นทางการของผมกับผอ.กองฯท่านหนึ่งเท่านั้นนะครับ
ด้วยความเคารพ
กัมปนาท
ขอบคุณท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์ สำหรับความคิดเห็นที่ดีๆ และเป็นกำลังใจสำหรับคนทำงานครับ
ผมขอเป็นคนรัก ม. อีกคนหนึ่งนะครับ
ตอนนี้กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะทำงานรับราชการดีมั้ย แต่ไม่ทราบว่าข้อดีของการรับราชการดีกว่าทำงานเอกชนอย่างไร เพราะรู้สึกว่าเงินเดือนที่ได้รับน้อยเหลือเกิน แต่ดูทำไมใครๆหลายๆคนก็อยากที่จะทำและแย่งกันสอบบรรจุ ไม่ทราบว่าท่านพอจะมีคำตอบและแจกแจงข้อดีของงานราชการให้หน่อยได้ไม่ค่ะ
ขอพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ