เมื่อ 8ปีก่อน ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ที่คณะแพทย์แห่งหนึ่ง ในช่วงที่เป็น นศพ. ปี3 ได้เรียนในภาคเวชศาสตร์ชุมชน(พ.ศ.2539) มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้นำหัวข้อเกี่ยวระบบสุขภาพที่ในประเทศต่างๆมาให้เราได้เรียนรู้ เพื่อนๆหลายคนถกเถียงกันในประเด็นว่าประเทศไทยควรมีระบบสุขภาพแบบประเทศใดดี{เพราะระบบเรายังไม่ค่อยได้เรื่อง :) } ผมในขณะนั้นสนใจระบบสุขภาพของประเทศอังกฤษที่มีแพทย์ GP ที่เข้มแข็ง เป็นที่ยอมรับของชุมชนค่าใช้จ่ายโดยรวมต่ำกว่าประเทศที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกันมีการวิเคราะห์ว่าระบบprimary care ของประเทศอังกฤษมีความเข้มแข็งจึงนำซึ่งผลดังกล่าว
หลังจากนั้นผมก็เริ่มหาข้อมูลว่าถ้าอยากจะทำงานด้าน primary careต้องเรียนอะไร ก็ได้คำตอบว่าเป็นหมอ fammed จะได้ทำงานนี้ ผมนำเรื่องนี้ปรึกษาอาจารย์รหัสที่เป็นหมอสูติว่าจะเรียน Fammed ท่านแนะนำให้ผมคิดทบทวนดีๆ เพราะงานนี้ "ขาดอนาคต เรียนจบก็คงไม่มีที่ทำงาน คงต้องไปตรวจ GP เท่ากับหมอที่จบ 6 ปี ไม่สามารถเติบโตได้" ผมเริ่มดูผู้ป่วยบน ward ไปตาม ward ต่างๆ สิ่งที่เห็นคือ
1.มีความรู้ต่างๆให้เรียนมากจนเรียนไม่ไหว อาจารย์ก็เก่งมาก(และดุพอสมควรจนผมรู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกิน)
2.เห็นแต่ผู้ป่วยนอนบนเตียง ทุกคนเรียนคนไข้ด้วยชื่อเตียง/ชื่อโรค ถ้าย้ายเตียงก็จะทำให้เดือดร้อนมากเพราะจะลืมประวัติเวลาที่อาจารย์มา round มีน้อยคนที่จำชื่อผู้ป่วยได้3.ทุกคนสนใจในสาขาความเชี่ยวชาญของตนเองจนเมื่อพบปัญหาทางสุขภาพอื่นๆ ก็โยนแผนกอื่นทันทีถึงแม้ปัญหานั้นๆจะเป็นปัญหาที่ธรรมดามากสามารถแก้ได้ไม่ยากก็ตาม
4.ในผู้ป่วยบางรายที่ต้องมีแพทย์ดูแลหลายสาขา ก็จะเกิดสภาวะ "หมด condition ทาง.........." เมื่อแพทย์ทุกคนที่ดูแลคิดว่าหมดภาระแต่ผลลัพธ์คนไข้ก็ยังไม่หายและไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของไข้ตัวจริง
และเมื่อผมลงจาก ward มาขึ้นแผนก fammed ปี 2541 สิ่งที่ผมพบคือต้องไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วย ตอนนั้นผมเบื่อมากเพราะไม่มีใครบอกผมเลยว่าเยี่ยมทำไม (ช่วงนั้นการเรียนการสอนยังไม่ค่อย work) ผมไม่เห็นหมอ fammed มีอะไรดี ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าทางที่ผมอยากเดินจะเป็นทางที่ถูกต้อง พอผมขึ้นปี 6 ผมตัดสินใจไปดูงานที่ เวชศาสตร์ครอบครัวที่เชียงใหม่ ผมพบอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีความเป็นแพทย์ที่พิเศษ ทุ่มเทการสอน นศพ. พาผมไปเดินสลัมและทำให้ผมแปลกใจคือ คนส่วนใหญ่รู้จักอาจารย์และให้ความนับถือ ผมถามอาจารย์ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น อาจารย์ตอบผมว่า "การทำงานแล้วยกผลงานให้คนอื่น การดูแลคนโดยไม่หวังผลตอบแทนจะช่วยให้น้องทำงานสำเร็จ" ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่ก็ประทับใจอาจารย์มาก เขาคนนั้นเป็นต้นแบบของผมมาตลอด
จากที่ผมเล่าให้ฟังมาทั้งหมดผมมองย้อนไปในอดีตว่าทำไมไม่ค่อยมี นศพ.สนใจ Fammed
1.การเรียนการสอนแพทย์เน้น tertiary care ทำให้ไม่เห็นภาพprimary care
2.การเรียนการสอนของ fammed ในขณะนั้นขาด model ที่ดีและหลักสูตรก็ยังมีความไม่ชัดเจน ทำให้ นศพ. ที่สนใจงานด้านนี้ไขว้เขว่และเลิกสนใจไป
3.attitude ต่อ Fammed ในตอนนั้นยังไม่ดีเนื่องจาก ไม่มีบนบาท(ที่ยืนในระบบสาธารณสุข) ทำให้คนทั้ง รร.แพทย์พูดกันว่าไม่น่าเรียน
พอเขียนมาถึงตอนนี้ก็ขอให้ติดตามอ่านในตอนต่อไปนะครับ
ได้แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรกเลยเหรอครับเนี่ย
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับเหตุผลทั้ง3ข้อครับ เนื่องจากเป็นสาขาใหม่ก็แบบนี้ล่ะครับพี่ เมื่อดูในระดับโลกก็ถือว่ายังใหม่อยู่ดี คาดว่าตอนที่เริ่มวางระบบการแพทย์ของไทยในขณะนั้นยังไม่น่าจะมีประเทศไหนที่มีfammed เลยทำให้เราเคยชินกับspecialist(ทั้งหมอและคนไข้)
มีตัวอย่างของผมคือ วันหนึ่งไปงานแต่งงานเพื่อนคนหนึ่งกับเพื่อนๆresident สาขาต่างๆ เช่น neuromed ได้ไปนั่งโต๊ะร่วมกับญาติเจ้าบ่าวคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็ก7-8ขวบ หลังจากคุยกันจนสนิทสักพัก น้องคนนี้ก็หันมาถามเพื่อนผมที่ไปด้วยกันว่าเป็นหมออะไร ถามไล่มาแต่ละคน ต่างคนก็ตอบว่า เป็นหมอสมอง หัวใจ ทางเดินอาหาร...(ย่อยไปกว่าอายุรกรรมอีก) จนถึงผมเป็นคนสุดท้าย น้องคนนี้ก็ถามว่า "แล้วพี่ล่ะ เป็นหมอรักษาอวัยวะอะไร" เป็นคำถามที่ทำให้ผมอึ้งเล็กน้อย ก่อนตอบว่า "พี่เป็นหมอครอบครัว ไม่ได้รักษาอวัยวะ" ซึ่งก็ทำให้น้องคนนั้นและแม่ของเค้าที่นั่งด้วยกันก็ทำหน้างงๆและเริ่มสอบสวนโดยถามคำถามที่ผมตอบมาไม่รู้กี่สิบครั้งแล้วว่า "แล้วหมอครอบครัวทำอะไร ใช่วางแผนครอบครัวหรือเปล่า" ซึ่งทำให้ผมลำบากใจทุกครั้ง เพราะไม่สามารถหาคำจำกัดความของ family doctor ที่สั้นและกระชับชนิดที่พูดมาแล้วทุกคนร้องอ๋อได้เลยสักครั้ง
มองดูๆแล้วมันเหมือนวงจรอุบาทว์(vicious cycle) อยู่เหมือนกันครับ ซึ่งพอจะเขียนได้ดังนี้
ขาดmodel(เนื่องจากความใหม่)-->ความไม่คุ้นเคย(จากกรอบความเคยชินเดิม)-->ความคลุมเครือไม่ชัดเจน-->มองดูไม่มีอนาคตไม่มีที่ยืน-->ไม่มีคนเรียน(ถึงหลงมาเรียนก็มักทนไม่ไหว)-->ขาดmodel--> -->...
ซึ่งจะแก้ไขด้วยการกำจัดวงจรแบบนี้ที่จุดใดจุดหนึ่ง เช่นสร้างmodelที่ดีออกมามากๆ ก็น่าจะทำให้วงจรนี้สิ้นสุดลงได้ แม้ว่าจะไม่สามารถสิ้นสุดลงได้ในเพียงรอบเดียวแต่ผมเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในอนาคตไม่รอบใดก็รอบหนึ่ง ถึงแม้ว่านโยบายของรัฐบาลต่อไปจะไม่สนับสนุนก็ตาม แต่ก็น่าจะมีสักรัฐบาลหนึ่งค้นพบสัจธรรมถึงความสำคัญของprimary care และ family medicine เหมือนดังที่หลายๆประเทศได้เห็นไปก่อนหน้าเราแล้วหลายสิบปี
ผมชอบคำว่า หมอประจำบ้าน จะได้ตอบได้ว่าผมเป็นหมอประจำบ้านนั้นบ้านนี้ ให้ความรู้สึกที่มีขอบเขตดี