วันนี้มีผู้ป่วยจากหอผู้ป่วยนรีเวชส่งมาปรึกษา เนื่อง่ จากอุบัติเหตุจากการใส่ท่อช่วยหายใจ แล้วทำให้ฟันโยกหลุดไปจากเบ้ากระดูกหนึ่งซี่ และฟันข้างเคียงโยกสองซี่ ทางโรงพยาบาลบอกว่าช่วยคำนวณค่าใช้จ่ายว่าประมาณเท่าใด ทางโรงพยาบาลจะชดใช้ค่าเสียหายให้ น่าชื่นชมในความรับผิดชอบครั้งนี้มาก
คนไข้ได้นำฟันที่หลุดไปมาด้วย แต่เสียดายว่า เวลาผ่านไปประมาณ 5 วันแล้ว ฉันไม่สามารถใส่กลับเข้าไปในกระดูกได้ ปกติแล้ว หากเราได้รับอุบัติเหตุด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แล้วมีฟันหลุดออกมาจากเบ้ากระดูก ไม่ต้องตกใจกลัวหรือเสียขวัญ ขอให้ตั้งสติดี ๆ และปฏิบัติตามดัง่นี้
1. หากฟันหลุดออกมาแล้ว ให้รีบเก็บฟันเอาไว้ ห้ามเช็ดดูเนื้อเยื่อบริเวณรากฟันออกโดยเด็ดขาด เพราะบริเวณรากฟันมีเนื้อเยื่อปริทันต์เกาะติดอยู่จะช่วยในการยึดอยู่
2. หากไม่มีที่เก็บฟันก็ขอให้อมไว้ในปาก แต่หากสามารถซื้อนมจืดที่บริเวณใกล้ ๆ ได้ก็ให้แช่ไว้ในนมจืดเย็น ๆ แล้วนำมาให้ทันตแพทย์
3. ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฟันว่า เกิดอุบัติเหตุอย่างไร เมื่อใด แบบใด อุไรเป็นสาเหตุ เพราะการตอบคำถามนี้ได้ จะทำให้ทันตแพทย์ทราบตำแหน่งของอวัยวะที่มีการบาดเจ็บได้
4. รีบนำมาพบทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะยะยเวลาที่สั้นที่สุด ส่งผลให้ผลการรักษาให้ได้รับผลดีที่สุด อย่างช้าคือภายใน 48 ชั่วโมง
ทันตแพทย์จะให้ตรวจรักษาอย่างไรบ้าง
1. ซักประวัติโดยละเอียด เพื่อประกอบการวินิจฉัยว่าเกิดความเสียหายต่อกัน และอวัยวะรอบ ๆ ตัวฟันอย่างไรบ้าง รวมทั้งประวัติโรคทางระบบของผู้ป่วยด้วย
2. ตรวจในช่องปาก โดยดูสภาพแผลที่ได้รับอุบัติเหตุ ทั้งภายในและภายนอก ดูสิ่งแปลกปลอมซึ่งอาจจะติดอยู่ภายในเนื้อเยื่อบาดแผล และเอาออกให้เรียบร้อยก่อน
3. ตรวจดูฟันข้างเคียงว่า โยกหรือเจ็บไหม กัดฟันได้เหมือนเดิมหรือเปล่า มีอาการปวดไหม มีการทะลุโพรงประสาทฟันหรือเปล่า เพื่อจะได้วางแผนการรักษาได้ถูกต้อง
4. การเคาะ ซึ่งทำโดยใช้ด้ามของเครื่องมือเกาะที่ตัวฟัน หากเคาะแล้วเจ็บก็แสดงว่ามีการทำลายของเนื้อเยื่อปริทันต์รอบ ๆ ตัวฟัน และอาจจะมีการอักเสบร่วมด้วย
ถ้าเสียงเคาะทึบ แสดงว่าฟันเคลื่อนไปติดกระดูก
ถ้าเสียงเคราะโปร่ง แสดงว่าฟันเคลื่อนไปทางด้านข้าง
5. การตรวจบริเวณขากรรไกร เพื่อดูว่ามีการแตกหักของกระดูกขากรรไกรร่วมด้วยหรือไม่
6. ตรวจดูรอยร้าวที่ฟัน ซึ่งมักจะตรวจด้วยการดูด้วยตาเปล่า หรือถ้าให้ดีก็ให้ใช้เครื่องฉายแสงส่องมาจากด้านลิ้นของฟัน และมองดูทางด้านหน้าบนตัวฟัน ให้สังเกตว่า รอยร้าวนั้นอยู่บนผิวเคลือบฟันหรือเนื้อฟัน และให้ตรวจดูว่ามีรอยหักพาดผ่านโพรงฟันหรือไม่
7. การสบฟัน หากไม่สามารถสบฟันได้ เช่นปกติ แสดงว่ามีการหักของขากรรไกรหรือกระดูกที่ฟันยังอยู่ หรือมีการเคลื่อนของฟันจากที่เดิมไปแล้ว
8. สีของฟัน บางครั้งอุบัติเหตุเกิดรุนแรง อาจจะทำให้เกิดการฉีกขาดของเส้นเลือด และอาจจะมีการซึมของเลือดเข้าภายในโพรงประสาทฟัน หรือเนื้อฟันได้ ทำให้ฟันมีสีชมพู ภายในระยะเวลา 2-3 วัน หรืออาจจะเป็นสีเทาอมฟ้า ภายใน 2 อาทิตย์ แต่ขั้นนี้ฟันอาจจะยังไม่ตาย และอาจจะเปลี่ยนกลับมาเป็นสีปกติได้ หากเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็แสดงว่าฟันมีการตายของเนื้อเยี่อในตัวฟันแล้ว
9. การตรวจความมีชีวิตของฟัน ไม่ควรตรวจในวันแรกของฟันที่ได้รับอุบัติเหตุ แต่ควรตรวจภายหลังได้รับอุบัติเหตุแล้วประมาณ 2 อาทิตย์ เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป อีกอย่างในวันที่เกิดอุบัติเหตุอาจจุเกิดการช็อคของฟัน ผลการตรวจจะยังไม่ชัดเจนเชื่อถือไม่ได้
10. การตรวจทางรังสี โดยการเอกซเรย์ฟัน เพื่อดูว่ามีการแตกหักของรากฟันหรือไม่ เพื่อดูสภาพของรากฟันว่ามีการสร้างปลายรากเสร็จสมบูรณ์หรือยัง หรือมีการเคลื่อนไปของรากฟันมากน้อยแค่ไหน ไปทิศทางใด ทั้งนี้เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาต่อไป
หลักในการรักษาฟันที่ได้รับอุบัติเหตุ
1. รีบทำโดยด่วน โดยให้ผู้ป่วยรู้จักวิธีการปฐมพยาบาลต่อฟันด้วย
2. ลดความเจ็บปวดให้ผู้ป่วยมากที่สุด และเร็วที่สุด เช่น หากมีการทะลุโพรงประสาทก็ควรดึงประสาทฟันออกทันที
3. ยึดฟันให้เข้าสู่ที่เดิมโดยเร็วที่สุด ไม่ควรรอให้นาน ควรได้รับการรักษาภายใน 48 ชั่วโมง เพราะฟันจะเปลี่ยนที่และไม่สามารถกลับที่เดิมได้ และหากนานกว่านี้ผลการรักษาอาจจะไม่ค่อยจะได้ผล
4. ทำให้กระดูกที่ได้รับอันตรายได้รับการซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด
5. หากมีการเสียหายเฉพาะบนตัวฟัน ไม่มีการทะลุโพรงประสาทฟัน หรือไม่มีอาการเสียวฟันก็อาจจะแนะนำให้ผู้ป่วยรีบมาอุดฟัน แต่หากมีการบาดเจ็บอย่างอื่นมาก ๆ ก็ให้รักษาอาการนั้นให้ดีก่อน แล้วค่อยมาอุดฟันก็ได้
อย่างนี้น่าจะมีการวางแผนกรณีฉุกเฉินอย่างนี้เพิ่มเติมไว้ในแผนการใส่ท่อช่วยหายใจบ้างนะคะ เพราะอาจจะช่วยรักษาให้ฟันยังยึดกับกระดูกได้ทันท่วงที (แต่คิดถึงอัตรากำลังของร.พ.แล้ว ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากนะคะ)
ขอบคุณคุณหมอหลองที่เอาความรู้ดีๆมาฝากพวกเรานะคะ มีประโยชน์จริงๆ