วันนี้ ได้มีโอกาสคุยกับ ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยฯ เกี่ยวกับธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม (CSR) กับงานชุมชน
ดร.พิพัฒน์ สนใจการทำงานของยูนุส ที่ร่วมกับบริษัทดานอน ทำโยเกิร์ตที่เพิ่มสารอาหารให้เด็ก จำหน่ายในราคาต่ำและมีส่วนแบ่งเหลือเข้ากองทุนให้ชุมชน
เราบอกว่า ตอนเริ่มทำโครงการแลกเปลี่ยนชุมชนเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน เราก็มีสมมติฐานว่า ชุมชนขาดแคลนเงินตรา แต่ในความเป็นจริงในปัจจุบัน ดูเหมือนจะไม่ใช่ เพราะงบประมาณต่างๆลงมาช่วยท้องถิ่นเยอะพอสมควร (ไม่ว่าจะเป็นด้วยนโยบายเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิกส์ หรือนโยบายเศรษฐกิจแบบเคนเซียนของรัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน ทักษิโณมิกส์เป็นเคนเซียนที่ดัดแปลงรูปแบบและเป้าประสงค์)
เราคิดว่าปัญหาจริงๆคือ
ประการแรกจะนำเงินทุนตรงนั้นมาทำอะไรให้เกิดประโยชน์ที่ยั่งยืนต่อชุมชน ตอบโจทย์แก้ปัญหาให้ชุมชน แผนแม่บทชุมชนที่เกิดจากชุมชนจริงๆน่าจะช่วยตอบตรงนี้ได้ แต่โดยส่วนตัว เราเห็นว่าควรเป็นการแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ปัญหาเรื่องอุปทานและการจัดการน้ำ ตลาดท้องถิ่น ระบบแลกเปลี่ยนชุมชน กองทุนสวัสดิการ หรืออื่นๆ ที่จะมีผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของชุมชนได้
ประการที่สอง เงินเป็นของกลุ่ม ไม่ใช่ของปัจเจกบุคคล ปัญหาคือคนจนจริงๆในชุมชนจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนนั้นหรือไม่ การใช้เงินกองทุนจากเอกชนจึงอาจมีเป้าหมายโดยตรงที่ครัวเรือนชายขอบ
ประการที่สาม มีความแตกต่างระหว่าง การนำเงินที่ได้ ไปซื้อสวัสดิการที่รัฐ หรือที่อื่นๆผลิต กับการนำเงินที่ได้ไปให้ชุมชนเป็นผู้ผลิตสวัสดิการเอง เช่น การดูแลผู้ป่วย การจัดการศึกษาที่ชุมชนเป็นเจ้าของ การพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน หมอพื้นบ้าน ครูภูมิปัญญา และอื่นๆ เอกชนจะช่วยสนับสนุนตรงนี้ได้หรือไม่ (เรายังจำภาพ คนแก่ญี่ปุ่นมีหุ่นยนต์ป้อนข้าวป้อนน้ำด้วยความรันทดใจ)
ประการที่สี่ หากชาวบ้านใช้เงินซื้อความสะดวก เช่น จ้างคนอื่น หรือ เช่าเครื่องจักรแทน เศรษฐศาสตร์ที่เชื่อในเรื่องความมีเหตุมีผลของทุกคน สอนเราว่า ไม่ได้แปลว่าชาวบ้านขี้เกียจ แต่เป็นเพราะมีค่าเสียโอกาสในการใช้แรงงานของเขา เช่น เขาอาจคิดว่า เอาแรงงานไปทำอย่างอื่นคุ้มกว่า (แม้แต่การพักผ่อน) ปัญหาที่สำคัญกว่าจึงน่าจะอยู่ที่ว่า เครื่องจักรที่เอามาทดแทนแรงงานนั้นมาจากที่ไหน ถ้าต้องซื้อน้ำมัน ซื้อเครืองจักร คำถามคือ เราสามารถผลิตเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อช่วยทดแทนแรงงาน แทนการพึ่งพาเครื่องจักรและเทคโนโลยีราคาแพงจากภายนอกได้หรือไม่ จะพัฒนาไบโอดีเซลที่มีราคาย่อมเยาคุณภาพดีขึ้นมาได้หรือไม่ หน้าที่ของรัฐและเอกชนที่มีแนวคิดเพื่อสังคมจึงน่าจะอยู่ที่การสนับสนุนลงทุนในส่วนนี้
ประการที่ห้า เราคิดว่า รัฐควรสนับสนุนธุรกิจ CSR แต่ตัวแปรสำคัญที่จะเป็นแรงผลักให้เกิดธุรกิจ CSR จริงๆอย่างยั่งยืน คือ ผู้บริโภค จริงอยู่ธุรกิจกลุ่มหนึ่ง อาจมีแนวคิดรับผิดชอบต่อสังคมจากภายในตนเอง แต่เราเห็นว่า ในต่างประเทศที่มีธุรกิจ CSR มากๆ แรงขับจริงๆมาจากการตระหนักด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค ผู้บริโภคจึงหันมาสนับสนุนเป็นลูกค้าของธุรกิจประเภทนี้ แม้บางครั้งจะจ่ายแพงกว่าเราคิดว่า
เราคิดว่าธุรกิจที่จะทำ CSR ได้ (โดยไม่มีรัฐสนับสนุน) มีสองประเภท
ประเภทแรก: ธุรกิจที่มีอำนาจผูกขาดในบางระดับ จึงพอจะมีกำไรส่วนเกินมาทำงานเชิงสังคมได้ แต่เขาจะทำอย่างนี้ก็ต่อเมื่อเขามีจิตสำนึกที่ดี หรือไม่ก็เพื่อสร้างภาพพจน์ที่ดี
ประเภทที่สอง: ธุรกิจที่อยู่ในตลาดแข่งขันด้านราคา จะไม่สามารถมีส่วนเกินมาสนับสนุนกิจกรรมเชิงสังคมได้มากนัก ดังนั้นหากผู้บริโภคไม่เห็นความแตกต่างว่าหน่วยธุรกิจ CSR ทำดีกว่าหน่วยธุรกิจอื่นๆอย่างไร และยินดีจะจ่ายแพงกว่า เพื่อสนับสนุนธุรกิจประเภทนี้ ธุรกิจในตลาดแข่งขันก็คงเสียสละมาทำงานเพื่อสังคมได้ไม่นาน
อีกประการหนึ่งที่เราไม่ได้คุยกับ ดร.พิพัฒน์ แต่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกัน คือ การมีกองทุนสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นของชาวบ้าน รวมถึงการลงไปทำความรู้จักกับชุมชนอย่างเป็นกัลยาณมิตร
ได้พบกับ ดร.พิพัฒน์ ท่านชี้แจงว่า ธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม อาจทำได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงิน ธุรกิจขนาดเล็กจึงย่อมปฏิบัติได้ เช่น การไม่ทิ้งของเสีย การนำของเสียกลับมาใช้หมุนเวียนใหม่ เป็นต้น
ต้องขอบคุณ ดร.พิพัฒน์มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ต่อประเด็นดังกล่าว จำได้ว่า เมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่นหลายปีก่อน ภาคธุรกิจจะพูดถึงเรื่อง zero waste เป็นเรื่องฮิตที่เป็นแนวปฏิบัติของธุรกิจที่ได้ชื่อว่า "ทันยุคสมัย" และถือเป็น "จุดขาย"
zero waste คือ ปฎิบัติการต่างๆที่จะทำเกิดของเสียน้อยที่สุด ตัวอย่าง เช่น การนำ by product จากโรงงานเบียร์ มาทำเป็นพลังงานหมุนเวียน ทำให้นึกถึงโรงสีของไทยที่นำแกลบกลับมาทำเป็นเชื้อเพลิง ถือว่าลดต้นทุนให้ธุรกิจตัวเองและส่งผลดีต่อสังคมด้วย
อยากให้ธุรกิจไทยหาจุดขายของตัวเองโดยการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีๆให้กับสังคม คิดว่า ผู้บริโภคก็น่าจะตอบรับในระดับดี เป็นการสร้างจิตสำนึกให้ผู้บริโภคไปด้วยในตัวได้ด้วยเหมือนกัน