ก่อนหน้านี้ผมนำเสนอประเด็นที่เป็นข้อเขียนของท่านอาจารย์ พจน์ ที่บรรยายถึงการสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) เนื่องจากว่าบทความมีความยาว นำเสนอเอาไว้บันทึกเดียวคงจะเป็นการลำบากในการอ่าน พลอยจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ามันเยอะ อาจเกิดความล้าได้ จึงขอนำมาเสนอต่อในบันทึกนี้นะครับ หากท่านใดยังไม่ได้อ่านบันทึกก่อนนี้ คงรบกวนให้อ่านก่อนแล้วจะต่อความได้ต่อไปครับ
ขอขยายความภาพนี้คือ ตามแกนนอน (แกน X) เป็นระดับการมีส่วนร่วมของคนในองค์การ ถ้ามีมากก็หมายถึง ทุกคนมีจิตใจร่วมมือร่วมใจกันเพื่อสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันมาก วิสัยทัศน์จึงเป็นของทุกคนที่พร้อมจะยึดมั่นและมุ่งมั่นทำงานร่วมกัน ส่วนแกนตั้ง (แกน Y) นั้นเป็นระดับความสามารถในการกำหนดทิศทาง เป้าหมายที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ภายในองค์การ ถ้าระดับต่ำก็เกิดการเรียนรู้น้อย ระดับสูงก็เกิดการเรียนรู้มาก
ขั้นต่ำสุดคือ การสั่งการ (Telling)
จากผู้บังคับบัญชา คนในองค์การมีการใช้สมองคิดหรือเรียนรู้น้อยที่สุด
เพราะเป็นการบอกให้ทำตามคำสั่งเท่านั้นเองถ้าจะให้มีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องมากขึ้นและก่อให้เกิดระดับการเรียนรู้ของคนในองค์การมากขึ้น
ผู้บังคับบัญชาต้องพยายามขายความคิด (Selling) ซึ่งพยายามอธิบายถึงว่า
“ทำไม” ให้ทราบข้อเท็จจริง ให้ข้อมูล เป็นเหตุเป็นผล ทำความเข้าใจ
การเรียนของคนในองค์การก็จะสูงขึ้นอีกนิดหนึ่ง
แต่ถ้าจะให้มีการเรียนรู้ของคนในองค์การสูงขึ้นอีกก็ต้องมีการอภิปรายแลกเปลี่ยนถกแถลง
แล้วก็ดูว่ามีใครเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ขั้นนี้เรียกว่า
การทดสอบความเห็น (Testing)
ถ้าให้การเรียนรู้สูงขึ้นไปอีกก็ต้องเป็นการปรึกษาหารือ (Consulting)
เป็นการคุยกัน วิพากษ์ วิจารณ์ นำผู้รู้มาร่วมให้ความเห็น
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ อาศัยความรอบรู้มาประกอบความเห็น
ก็จะทำให้ระดับการเรียนรู้ของคนในองค์การสูงขึ้น
ขั้นของการมีส่วนร่วมสูงสุดและก่อให้เกิดความร่วมมือสูงสุด
และก่อให้เกิดผลสำเร็จขององค์การสูงสุดคือ การร่วมคิดร่วมทำ
(Co-creating)
ทุกคนช่วยกันคิดจนเข้าใจตรงกันแล้วถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ของทุกคนในองค์การ
เป็นเป้าหมายของทุกคนที่จะทำงานร่วมกันให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์นั้นๆ
ความสามัคคีทางความคิดร่วมกันเป็นคล้ายๆ
กับสัญญาที่มีต่อกันแล้วผลตามมาก็คือความสำเร็จของงานที่ร่วมมือร่วมใจกันทำนั่นเอง
เป็นการร่วมทำร่วมคิดเพื่อผลสัมฤทธิ์ขององค์การ
5.2.4 การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team
Learning) เป็นการปรับเข้าแนวร่วมกัน เป็นการทำงานเป็นกลุ่มเป็นก้อน
เรียนรู้ด้วยกัน เป็นการผูกรักสามัคคี เอื้ออาทร
ความผูกพันประดุจดังการทำงานหรือการเรียนรู้เป็นของส่วนรวมหรือของทีม
มีการแบ่งภารกิจ และความรับผิดชอบ มีการแลกเปลี่ยน
เสริมสร้างให้เกิดการเรียนรู้ เป็นการสร้างพลังกันและกัน
การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีมจะช่วยสร้างขบวนการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่ตรงตามความปรารถนาของสมาชิกในกลุ่มทุกคน
จุดดีของศีลหรือวินัยข้อนี้คือ การเพิ่มความสามารถของทีม
จะไม่เกิดเฉพาะเป็นครั้งคราว
แต่จะยั่งยืนและเสริมกำลังตนเองของทีมอยู่เสมอ การปรับเข้าแนว
(Alignment) ต้องทำตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด คือ
การเสริมสร้างความสามารถของทีมในการคิดและปฏิบัติในลักษณะร่วมเสริมพลัง
(Synergistic) โดยมีการประสานงานกันอย่างเต็มที่
มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สมาชิกของทีมรู้ใจและความคิด
(heart and mind) ของกันและกัน
5.2.5 การคิดอย่างเป็นระบบ (Systems
Thinking) เป็นการคิดถึงความเกี่ยวโยงของส่วนต่างๆ ในระบบ
รู้ระบบใหญ่ระบบย่อย คิดทั้งระบบ ความเชื่อมโยง วงจรต่างๆ ภายในระบบ
ถ้าดูตัวอย่างของนาฬิกาที่กำกับให้เข็มบอกเวลาเดินให้ตรง
ถ้าเปิดด้านหลังหรือฝาครอบตัวเครื่องนาฬิกาออกจะเห็นระบบใหญ่ของนาฬิกาเรือนนั้น
จะเห็นจักรเฟืองขนาดกลาง
จะเห็นจักรเฟืองขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกันเป็นระบบระเบียบ
องค์การก็เช่นเดียวกัน ก็จะมีชิ้นส่วนย่อย ชิ้นส่วนขนาดกลาง
ขนาดใหญ่เชื่อมโยงกัน มีโครงสร้างการคิดเชิงระบบในปัญหาใดๆ
จึงจะต้องมีการวิเคราะห์ส่วนใหญ่ กลาง และย่อยลงไปตามลำดับ
แล้วดูความเชื่อมโยงให้ทำงานประสานกันดุจนาฬิกา
เดินและรักษาเวลาให้ตรงได้
ถ้าส่วนเฟืองหนึ่งเฟืองใดชำรุดก็มีผลกระทบต่อระบบนาฬิกาทั้งเรือนได้
ดังนั้นการคิดเป็นระบบจะช่วยให้เข้าใจในเหตุการณ์ปัญหา
และอุปสรรคต่างๆ ชัดเจนขึ้นโดยอาศัยการวิเคราะห์เชิงระบบเข้าช่วย
และความเชื่อมโยงกันและกัน เมื่อทราบระบบขององค์การดีแล้ว
การถ่ายโยงข้อมูล สาระความรู้ ก็จะเป็นไปได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะนำมาซึ่งการเรียนรู้ของระดับบุคคล
ระดับกลุ่มงานและระดับองค์การในที่สุด
5.2.6 มีการสนทนา (Dialogue)
เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกันเสมอ การจัดกลุ่มสนทนา
ประชุมปรึกษาหารือเพื่อถ่ายโยงความรู้กันและกัน
การสนทนาที่มีความหมายและได้คุณภาพนั้น
มีขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติให้ชัดเจน
วินัยเกี่ยวกับการสนทนานี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
ซึ่งหมายถึงการรับฟังและการสื่อสารระหว่างบุคคล
ต้องอาศัยบรรยากาศที่อิสระและสร้างสรรค์ มิใช่การบ่น รู้จักฟัง
รู้จักคิด แล้วจึงพูดในสิ่งที่มีความหมายและสร้างสรรค์
ถ้าเราสนทนาหรือประชุมที่มีคุณภาพจะได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมที่ทุกคนเห็นดีเห็นงามตรงกันแล้วทุกคนศรัทธาต่อข้อสรุปนั้น
พร้อมกับนำไปปฏิบัติให้เกิดผล แล้วติดตามประเมินผล
เพื่อทราบปัญหาเพื่อการปรับปรุงพัฒนาต่อไป
5.3 ประเภท (Types) ของการเรียนรู้
ศาสตราจารย์ไมเคิล มาควาด
ได้แบ่งประเภทของการเรียนรู้ในองค์การไว้เป็น 4
ประเภทด้วยกันคือ
5.3.1 การเรียนเพื่อปรับเปลี่ยน (Adaptive
Learning) หมายถึงบุคคลหรือกลุ่มบุคคล เรียนจากประสบการณ์
แล้วคิดทบทวนถึงผลดีผลเสีย แล้วปรับเปลี่ยนพัฒนาให้ดีขึ้น นั้นก็คือ
องค์การต้องตั้งเป้าหมายแล้วดำเนินงานไปตามเป้าหมายและแผนงานที่วางไว้
เก็บรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบ ทบทวน
แล้วก็ปรับปรุงก็จะเกิดการเรียนรู้ได้
5.3.2 การเรียนจากความคาดหวัง (Anticipatory Learning) เป็นการเรียนที่เกิดขึ้นจากความมุ่งหวังในอนาคตขององค์การ โดยเริ่มต้นจาก
ว่าเป็นไปได้ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้หรือไม่ เพราะเหตุใด
มีผลดีและผลเสียอย่างไร แล้วก็นำมาปรับจัดทำวิสัยทัศน์ใหม่
นั่นก็คือการเรียนเพื่อมองหาอนาคตขององค์การที่ดีที่สุดและใหม่สุด
โดยพิจารณาภาวะแวดล้อม
ปัญหาอุปสรรคที่ทำให้เราไม่สามารถทำตามความหวังที่เราตั้งไว้นั่นเอง
การเรียนแบบนี้ผลลัพธ์คือ
ความคาดหวังหรือวิสัยทัศน์ใหม่ที่เป็นจริงที่ดีที่สุด
และข้อค้นพบถึงวิธีการที่จะเป็นจริงตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้
5.3.3
การเรียนจากปัญหาและอุปสรรคจากการเรียนที่ผ่านมา (Deutero Learning)
หรือจะเรียกว่าเป็นการเรียนเรื่องราวจากการเรียนมาแล้ว “Learning
about learning”
เมื่อองค์การได้ผ่านการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งมาแล้ว
ผู้เรียนก็จะรู้ว่าอะไรเขาเรียนได้ดี รู้เร็วและนำไปปฏิบัติได้
โปรดสังเกตว่าการเรียนรู้ได้กับการทำได้คือสิ่งเดียวกัน
รู้ได้ทำเป็นจึงจะครบถ้วนของการเรียน
บางคนหรือบางกลุ่มคนอาจจะเรียนรู้แต่นำไปปฏิบัติไม่ได้
ที่นำไปปฏิบัติไม่ได้นั้นเพราะอะไร และจะทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติให้ได้
ตรงนี้ก็จะเกิดการเรียนรู้ใหม่ เป็นความรู้ใหม่สำหรับผู้เรียน
ผลงานจากการปฏิบัติก็จะดีขึ้น ชำนาญขึ้น
อะไรที่ทำให้เขาเรียนรู้ได้ง่าย อะไรที่ทำให้เขาทำไม่ได้
แล้วก็ลองคิดวิธีเรียนและคิดวิธีทำใหม่จนทำได้ตามที่ต้องการ
แล้วเขาก็จะประเมินผลและสรุปจากการคิดใหม่ และผลงานที่ได้
ก็เกิดความรู้แก่คนๆ นั้น ก็นำไปใช้ได้ต่อไป
ถ้าลองนึกถึงช่างแก้เครื่องยนต์จะเห็นชัด ช่างที่เก่งจะมีวิธีปรับแก้
ดัดแปลง สิ่งที่เป็นอุปสรรคในเครื่องยนต์ได้ดี วิธีแก้
ดัดแปลงที่เขาพบนั้นเป็นความรู้ที่ทำให้เขาเกิดความชำนาญได้
5.3.4 เรียนโดยการกระทำ (Action Learning)
เรียนโดยการกระทำเกิดขึ้นจากการลงมือปฏิบัติจริงในสถานการณ์จริง
การกระทำได้และเรียนรู้ได้คือสิ่งเดียวกัน จะไม่มีการเรียนรู้จริง
ถ้าไม่ทำจริงและถ้าไม่ทำจริงก็จะไม่รู้จริง
เรื่องนี้ในวงการศึกษาได้เน้นให้เห็นชัดเจน
การเรียนโดยให้ปฏิบัติจึงเป็นหัวใจของการเรียนในทุกๆ องค์การ
และเป็นวิธีเรียนที่มีประสิทธิภาพสูงมาก Revans (1980)
ได้เขียนสมการการเรียนรู้แบบ Action Learning ไว้ ดังนี้
L = P + Q
L คือ Action Learning
P คือ Programmed Instruction
Q คือ Questioning
อ้างใน Marquardt, Michael J.
โดยสรุประบบการเรียนรู้ขององค์การแห่งการเรียนรู้จะเป็นภาพดังต่อไปนี้
:-
ยินดีได้ร่วมแลกเปลี่ยนกับพี่จ๋อย ว่าที่ดุษฏีบัณฑิตครับ
กัมปนาท อาชา ปท.21 เทคโนโลยีการศึกษา
ยินดีต้อนรับ คุณแจ๊คครับ ผู้บุกเบิกเรื่อง KM ของ มมส
ขอบคุณครับที่อุตสาห์มาอ่าน
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
สวัสดีคับ
คือ ตอนนี้ผมต้องการที่ปรึกษาเกี่ยวกับ การพัฒนาองค์กรของผม
เพราะว่าองค์กรของผมตอนนี้กำลังประสบปัญหาในด้านการบริหารเป็นอย่างมากครับ
ติดต่อผมได้ [email protected] ทวีศักดิ์ เกตุทัต
จะทำ IS เรื่องวิสัยทัศน์ร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น อยากได้ข้อมูลพอจะให้คำปรึกษาได้หรือเปล่าค่ะ