เข้าไปอ่านในระบบไฟล์ข้อมูลของคุณเทพฤทธิ์แล้วครับ
การประชุม อาจเรียกชื่อได้ต่างๆมากมายตามลักษณะหรือวัตถุประสงค์หรือกลุ่มผู้เข้าร่วมประชุม แต่ถ้าจะรวมประเภทใหญ่ๆจำแนกตามวัตถุประสงค์แล้วก็อาจแบ่งได้ 5 ประเภท ดังนี้1. การประชุมเพื่อการข่าวสาร (Information Conference) สมาชิกจะร่วมกันรวบรวมความรู้และประสบการณ์เพื่อนำมาปรับปรุงการคิด หรือการทำงานของแต่ละคน แม้ว่าเรื่องราวที่นำมาประชุม อาจจะเป็นการรวบรวมปัญหาเฉพาะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เป้าหมายของการประชุมแบบนี้ไม่มุ่งที่การหาข้อแก้ปัญหาอันใดอันหนึ่งเท่านั้น แต่มุ่งที่การหาข่าวสารหรือข้อมูล ซึ่งเมื่อมีการกลั่นกรองแล้วก็จะกลายเป็นสารสนเทศ (Information)2. การประชุมเพื่อแก้ปัญหา (Problem-solving Conference) ลักษณะสำคัญของการประชุมประเภทนี้มักจะเป็นการประชุมอภิปรายถกปัญหา ส่วนมากการอภิปรายต่างๆจะเป็นรูปแบบของการหาข้อแก้ปัญหาทั้งหมดหรือบางส่วน ผู้ร่วมประชุมจะคิดร่วมกันด้วยการรวบรวมประสบการณ์ต่างๆของทุกคนมาแก้ปัญหาร่วมกัน ด้วยการชี้ถึงประเด็นของปัญหา วิเคราะห์หาสาเหตุและร่วมกันพิจารณาหาแนวทางป้องกันหรือแก้ปัญหานั้นๆ 3. การประชุมเพื่อตัดสินใจ (Decision-making Conference) ลักษณะสำคัญเป็นการร่วมกันคิด พิจารณาข้อมูลรายละเอียดของสิ่งต่างๆที่จะเลือกใช้หรือเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งด้วการให้ข้อคิดและการให้ข้อมูลพื้นฐานของข้อมูลที่จำเป็น ลักษณะของการประชุมแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดปัญหาและตัดสินใจเลือกวิธีแก้ปัญหา แต่เป็นการประชุมเพื่อพิจารณาเลือกสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากหลายสิ่งหรือการเลือแนวทางปฏิบัติก็ได้ ซึ่งเป็นการเลือกด้วยกระบวนการคิด มิใช่การเสี่ยงทาย 4. การประชุมเพื่อการฝึกอบรม (Training Conference) การประชุมแบบนี้ ผู้นำการประชุมจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมการประชุมได้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการจัดฝึกอบรม หรือเพิ่มทักษะในวิธีการกระทำบางสิ่ง หรือถ้ามีการแก้ปัญหาข้อใดก็มักจะเน้นเรื่องการเรียนรู้ วิธีการแก้ปัญหาหรือการใช้ขั้นตอนในการแก้ปัญหา การจัดประชุมเพื่อฝึกอบรมมักจะใช้ทั้งการแสวงหาข้อมูล รายละเอียด และการแก้ปัญหา การประชุมเพื่อการฝึกอบรมมีเทคนิคที่จะดำเนินการได้มากมายหลายรูปแบบ แต่กิจกรรมหลักก็คือการประชุมในลักษะใดลักษณะหนึ่ง 5 การประชุมเพื่อระดมความคิด (Brainstorming Conference) การประชุมประเภทนี้เป็นการรวมเอาวิธีการประชุมเพื่อการข่าวสารและการประชุมเพื่อแก้ปัญหา เข้ามาผสมกลมกลืนกัน วัตถุประสงค์หลักคือ การรวบรวมความคิดจากผู้ร่วมประชุมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในเวลาอันสั้นจะมีการชี้ถึงปัญหา และขอให้ทุกคนให้ข้อแนะนำในการที่จะแก้ปัญหาโดยรวดเร็วต่อไปไม่หยุดชะงัก ไม่อนุญาตให้ใครวิพากษ์วิจารณ์หรือถกปัญหาโต้แย้งในความคิดที่เสนอแนะขึ้นมา ใครจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็จดเข้าไว้เพื่อตอนท้ายของการประชุมจะมีรายการความคิดต่างๆมากมาย ต่อจากนั้นจึงนำมาเลือกว่าความคิดใดดีไม่ดี แล้วเรียบเรียงเสียใหม่ การประชุมใหญ่ (Convention)
ลักษณะสำคัญ เป็นการประชุมบรรดาผู้แทน ซึ่งได้รับการเลือกจากหรือได้รับการแต่งตั้งจากกลุ่มใหญ่ หรือคณะผู้แทนที่ได้รับแต่งตั้ง หรือมอบหมายจากหน่วยงานท้องถิ่นต่างๆซึ่งรวมอยู่ในองค์การเดียวกัน และมีผลประโยชน์ร่วมกัน บุคคลเหล่านี้จะมาพบปะพิจารณาสำรวจและแก้ไขปัญหาต่างๆที่กำลังเป็นอยู่ในองค์การเดียวกัน การประชุมใหญ่มักประกอบด้วยการกล่าวนำ การอภิปรายเป็นคณะ การอภิปรายสาธารณะ การอภิปรายกลุ่ม ฯลฯ
วัตถุประสงค์1. เพื่อสำรวจปัญหา 2. เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา 3. เพื่อตกลงใจเกี่ยวกับแนวดำเนินการ (Course of Action) 4. เพื่อส่งเสริมหรือกระตุ้นให้แต่ละหน่วยงานท้องถิ่นปฏิบัติการรวมกันเป็นกลุ่มก้อน (Concerted Action) 5. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือภายในองค์การ 6. เพื่อชำระสะสางกิจกรรม ความคิด และนโยบายขององค์การ เลือกเอาข้อดีไว้ปฏิบัติ และขจัดข้อเสียให้หมดไปข้อดี 1. เป็นวิธีที่จัดให้สมาชิกขององค์การหรือบุคคลต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมในการวางแผนการกำหนดนโยบายขององค์การใหญ่ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง 2. เปิดโอกาสให้สมาชิกหรือหน่วยย่อยขององค์การที่จะเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากหน่วยงานในท้องถิ่น เพื่อการปฏิบัติขององค์การใหญ่โตโดยส่วนรวม 3. เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายแสดงทัศนะของตนได้เต็มที่ และเป็นทางให้คนกลุ่มน้อยได้มีโอกาสแสดงตน 4. เป็นทางให้เสนอเรื่องราวด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 5. ช่วยให้การปฏิบัติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 6. ช่วยกระตุ้นให้หน่วยงานสาขาขององค์การในภูมิภาคได้ปฏิบัติงานอย่างแข็งขัน 7. จัดให้กลุ่มต่าง ๆ มาร่วมกันเพื่อบรรลุถึงความเข้าใจของกลุ่ม ด้วยกระบวนการแห่งประชาธิปไตย 8. ให้โอกาสสมาชิกที่จะท่องเที่ยวและศึกษา ข้อจำกัด 1. ผู้แทนที่ได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมายจากหน่วยงาน อาจจะไม่มีความพอใจหรือสนใจเหมือนกัน 2. ในระหว่างการประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมมักจะมีจุดสนใจแตกต่างกันไปหลาย ๆทาง 3. ข้อสรุปต่าง ๆ มักจะเกิดขึ้นโดยเผด็จการ 4. ผู้แทนซึ่งเข้าร่วมประชุมจำนวนมาก มักจะสามารถนำไปสู่การสรุปผลตามที่ต้องการ โดยกีดกันไม่ให้ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ในทางกลับกัน ผู้เข้าประชุมส่วนใหญ่ อาจถูกชักจูงให้มีความคิดเห็นคล้อยตามคนส่วนน้อยบางคน เพราะความสามารถในการอภิปราย มากกว่าที่จะเกิดการใช้วิจารณญาณอย่างถ่องแท้ การประชุมสัมมนา (Seminar)
ลักษณะสำคัญ สัมมนา คือ การที่บุคคลกลุ่มหนึ่งมาร่วมประชุม โดยการนำของผู้ชำนาญหรือผู้รู้ในลักษณะที่แต่ละคนหันหน้าเข้าหาหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องที่มุ่งจะพิจารณาโดยเฉพาะ (Particular Topic) โดยนำเอาประสบการณ์เดิมมาสร้างแนวปฏิบัติใหม่ จัดได้ว่าเป็นการฝึกอบรมประเภทหนึ่ง เป็นการเพิ่มพูนความรู้แก่ผู้เข้าร่วมสัมมนา เพื่อให้สามารถไปปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือเพื่อเป็นการเตรียมตัวให้ก้าวหน้า เหมาะกับตำแหน่งความรับผิดชอบสูงขึ้นไป
คำว่า “สัมมนา” มาจากคำว่า สัง + มนะ แปลว่า ร่วมใจ (Meting of the Minds) เป็นศัพท์ที่คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ทางการศึกษาของกรมวิสามัญศึกษาบัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Seminar ซึ่งแต่เดิมหมายถึง การที่นักศึกษาขั้นอุดมศึกษาเมื่อได้ฟังคำบรรยายแล้วมาทำความเข้าใจร่วมกับเพื่อนๆหรือร่วมประชุมอภปรายเกี่ยวกับวิชาการที่ได้ต่างไปค้นคว้ามา ส่วนมากเน้นหนักในด้านการวิจัย และการแก้ปัญหาที่นักศึกษามีความสนใจร่วมกัน (วิธีนี้มักใช้ในมหาวิทยาลัย เพื่อจัดให้นักศึกษาขั้นสูงกว่าระดับปริญญาตรีทำวิจัยค้นคว้าภายใต้การควบคุมของอาจารย์ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้สามารถใช้กับกลุ่มอื่นๆด้วย) แต่ศัพท์ “สัมมนา” ที่ใช้ในภาษาไทยมีความหมายโดยทั่วๆไปถึงการที่ผู้มีความรู้หรือการศึกษาในระดับเดียวกัน หรือวิชาชีพแขนงเดียวกันมาประชุมกัน เพื่อพร้อมใจกันแก้ปัญหา หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความก้าวหน้าในวิชาชีพแขนงนั้น หรือการปฏิบัติงานในหน่วยงานนั้นๆ
การสัมมนานี้มิใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นและนำมาใช้ประโยชน์เป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาตามที่ใจกัน ความจริงทางตะวันออกได้ใช้เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนและแสวงหาความรู้มาก่อน ปรากฏหลักฐานจากการที่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาได้มีการจัด “สัมมันตนา” เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทำความเข้าใจในหลักธรรมและกำหนดแนวปฏิบัติอันเป้นผลที่ได้มาจากการร่วมสัมมันตนา ซึ่งก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการสัมมนานั่นเอง
การสัมมนาตามทางปฏิบัติในสังคมไทยปัจจุบัน เป็นชื่อรูปแบบของกระบวนการจัดประชุม โดยเนื้อแท้ก็เป็นการจัดให้มีการคิดร่วมกันเป็นกลุ่ม (Group thinking) ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดยืดหยุ่นได้บ้าง สุดแต่จะให้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เพื่อจะได้ไม่เคร่งครัดในเรื่องรูปแบบมากเกินไป ส่วนมากจะเชิญผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละแขนงวิชามาบรรยายตามข้อต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ผู้จัดการสัมมนากำหนดให้สอดคล้องกับหัวข้อการสัมมนาเป็นการวางแนวความคิดไว้กว้างๆ เพื่อจะได้นำไปตั้งวงเขตของปัญหา (Location of Problem) และกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน (Criteria) ในการพิจารณาปัญหา ทั้งนี้การบรรยายย่อมเป็นประโยชน์เพิ่มพูนความรู้ในวิชาชีพของผู้ร่วมสัมมนา เพื่อช่วยการแก้ปัญหาด้วยอีกโสดหนึ่ง โดยเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมสัมมนาซักถาม และอภิปรายร่วมด้วย ในบางครั้งก็จะจัดแบ่งผู้ร่วมสัมมนาเป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่เกิน 10 คน ให้อภิปรายปัญหาที่กำหนดให้ โดยมีวิทยากรเป็นผู้คอยให้คำแนะนำเมื่อจำเป็น การประชุมกลุ่มนี้มีประโยชน์มาก เพราะสมาชิกของกลุ่มมีจำนวนพอสมควร ไม่มากไม่น้อยเกินไป ทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกเป็นกันเองในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน แต่ถ้ามีเวลาจำกัด จะจัดเพียงให้ผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยายหัวข้อที่กำหนด แล้วเปิดการอภิปรายสาธารณะ (Open-forum Period) ก็อาจทำได้
วัตถุประสงค์
การสัมมนาต้องกระทำอย่างมีจุดหมาย วิธีการประชุมแบบนี้อาจนำไปใช้เพื่อให้บรรลุความต้องการในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือมากกว่านั้นในวัตถุประสงค์ต่อไปนี้ 1. เพื่อความเข้าใจปัญหา 2. เพื่อสำรวจปัญหา 3. เพื่ออภิปรายหรือวางโครงร่างการวิจัยที่จำเป็นเกี่ยวกับการแก้ปัญหา 4. เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ค้นพบกับคนอื่น ๆ ในกลุ่ม 5. เพื่อให้บรรลุข้อสรุปผลวิจัย 6. เพื่อเสนอสาระน่ารู้ อย่างไรก็ตาม การสัมมนาเป็นการประชุมแบบหนึ่ง จึงอาจใช้เพื่อวัตถุประสงค์ของการประชุมโดยทั่วไปด้วยดังนี้ 1. เพื่อแก้ปัญหาอันเป็นเรื่องสำคัญ (Problem Solving) 2. เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้แก่กันและกันหรือให้การฝึกอบรม (Teaching or Training) 3. เพื่อแสวงหาข้อตกลงด้วยการเจรจา (Negotiation) 4. เพื่อตัดสินใจหรือกำหนดนโยบาย (Decision-making or Policy determination) พิจารณาจากวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า จุดมุ่งหมายใหญ่ของการสัมมนาแต่ละครั้ง ก็เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ผู้เข้าร่วมสัมมนาแต่ละท่านจึงจำเป็นที่ต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม เพื่อให้การประชุมดำเนินไปเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ดังนั้น เราจะควรพิจารณาองค์ประกอบที่จะถือได้ว่าเป็นการสัมมนา ดังนี้1. ต้องตั้งความมุ่งหมายไว้ให้ชัดแจ้งแน่นอน 2. ต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ด้วยการเปิดให้มีการอภิปรายกันอย่างเสรี 3. ข้อเสนอแนะแก้ปัญหา ต้องได้รับจากการอภิปรายร่วมกันของกลุ่ม ข้อดี 1. เป็นการนำผู้ที่สนใจปัญหาเดียวกันมาร่วมกันพิจารณาปัญหา สาเหตุและแนวทางแก้ไข 2. ได้ผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในปัญหาอย่างแท้จริง 3. มีการนำอภิปรายโดยผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อสัมมนาเป็นการให้แนวความคิดพื้นฐานและทัศนะต่อปัญหาอย่างกว้างขวาง 4. เปิดโอกาสให้ผู้เข้าสัมมนาที่สนใจประเด็นเฉพาะได้เข้าร่วมการวิเคราะห์ปัญหาในแต่ละประเด็นอย่างลึกซึ้ง 5. ข้อเสนอแนะจากกลุ่มย่อยจะได้รับการพิจารณาเห็นชอบในที่ประชุมรวมเพื่อกลั่นกรอง เป็นข้อเสนอแนะแก้ปัญหาจากที่ประชุมสัมมนา ข้อจำกัด 1. ผู้เข้าสัมมนาบางคนอาจไม่ได้ศึกษาหัวข้อสัมมนาอย่างจริงจังจึงไม่อาจให้ข้อคิดเห็นแก่กลุ่มอย่างเต็มที่ 2. ผู้สัมมนาที่ลงทะเบียนเข้ากลุ่มใดแล้วไม่ได้รับความรู้และประสบการณ์จากผู้ช่วยกลุ่มอย่างเพียงพอจะรู้สึกอึดอัดและผิดหวังมาก 3. รายงานของกลุ่มสัมมนาอาจไม่ได้รับการวิเคราะห์ในที่ประชุมรวมอย่างจริงจัง เนื่องจากเวลามีจำกัดและมีกลุ่มสัมมนาจำนวนมาก 4. บางกลุ่มสัมมนามีจำนวนมากเกินไปเป็นเหตุให้บางคนไม่มีโอกาสอภิปรายความเห็นในกลุ่ม 5. วิทยากรประจำกลุ่มบางคนชอบแสดงความคิดเห็นแทนกลุ่มเสียเอง ถ้าสมาชิกกลุ่มไม่ช่วยกันยับยั้งการประชุมจะเสียผล การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop)
ลักษณะสำคัญ กลุ่มคนจำนวน 12 คน หรือมากกว่านั้น มีความสนใจหรือมีปัญหาร่วมกัน (ด้วยปกติเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชีพหรือวิชาชีพ) มาพบปะกันเพื่อใช้เวลาในการปรับปรุงความสามารถความเข้าใจและความชำนิชำนาญของแต่ละคน โดยการศึกษาวิจัยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ ข้อสังเกต แม้จะไม่กล่าวถึงวิธีการจัดประชุมในแบบอื่น ๆ แต่เป็นที่เข้าใจกันว่า การประชุมอบรมแบบนี้มีลักษณะยืดหยุ่นได้มาก การ ประชุมแบบนี้มี 2 ชนิด คือ ใช้เวลานานกับใช้เวลาเพียงสั้น ๆ
วัตถุประสงค์
การประชุมเชิงปฏิบัติการ สามารถนำมาใช้เมื่อต้องการที่จะได้รับผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ 1. เพื่อทำความเข้าใจปัญหา 2. เพื่อสำรวจปัญหา 3. เพื่อพยายามหาข้อแก้ไขปัญหา 4. เพื่อศึกษาปัญหาด้วยการสอบถาม 5. เพื่อพิจารณาด้วยการสอบถาม 6. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบุคคล 7. เพื่อส่งเสริมการศึกษา รวมถึงแก้ปัญหาและค้นคิดวิธีการต่าง ๆ ข้อดี 1. เปิดโอกาสแก่ผู้เข้าร่วมประชุมให้ได้เตรียมตัวเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในวิชาชีพหรืออาชีพของเขา 2. ให้โอกาสในการประเมินค่าของวิชาชีพหรืออาชีพ และทำการวิจัยที่จำเป็น 3. เปิดโอกาสให้เสนอสิ่งสำคัญและเรื่องราวใหม่ ๆ 4. ให้โอกาสในการเสนอปัญหาในหลายลักษณะ 5. ให้โอกาสแก่บุคคลทุกคนที่มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ 6. ให้โอกาสสำหรับนักศึกษา และวิจัยอย่างมีใจจดใจจ่อในขอบเขตของความสนใจทางด้านวิชาชีพหรืออาชีพ 7. เปิดโอกาสให้ได้รับเรื่องราวที่ถูกต้องจากผู้ชำนาญพิเศษ 8. ให้มีการพัฒนาบุคลิกภาพแต่ละบุคคลโดยการอภิปรายแบบประชาธิไตยและการมีส่วนร่วมมือกันอย่างแท้จริง 9. ปล่อยให้กลุ่มกำหนดวัตถุประสงค์ที่จะกระทำ ข้อจำกัด 1. สิ่งอำนวยความสะดวกสบายพิเศษต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นสำหรับการประชุมถูกจำกัดโดยทั่ว ๆ ไป มีอยู่เฉพาะในบริเวณมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย หรือสถานที่พิเศษเท่านั้น 2. ระยะเวลาสำหรับการสำรวจปัญหาอย่างเต็มที่โดยผู้ร่วมประชุมมีระยะเวลาอย่างดีก็ประมาณ 2 วัน ถึง 2 สัปดาห์ 3. กลุ่มอาจจะยอมรับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าของคณะกรรมการอำนวยการโดยปราศจากคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้ผลที่ได้จึงจำกัด เป็นเรื่องอันตรายมากและสามารถป้องกันได้โดยการเลือกตั้งผู้นำในการเปิดอภิปรายทั่วไปอย่างระมัดระวัง การประชุมอภิปรายกึ่งสัมภาษณ์ (Colloquy)
ลักษณะสำคัญ Colloquy เป็นการประชุมอภิปรายแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งปรับปรุงมาจากการอภิปราย Panel โดยผู้ร่วมอภิปราย 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมาจากผู้ฟังซึ่งมีจำนวน 3-4 คน และอีกกลุ่มหนึ่งมีจำนวน 3-4 คนเช่นกัน ซึ่งเป็นวิทยากร (Resource person) หรือผู้ชำนาญเกี่