สังคมเมืองสังคมชนบท : โดยปกติค่านิยมคนจะพูดว่า สังคมเมืองคือแบบอย่างของความเจริญ และสังคมชนบทคือแบบอย่างของความล้าหลัง ไม่เพียงเท่านั้น ยังจะกล่าวต่อไปอีกว่า ควรหาทางสลัดคราบสังคมชนบทให้หลุดพ้นไปแล้วเรียกร้องปองหาสังคมเมืองมาแทนที่ แต่มีน้อยคนที่มีมุมมองในทางตรงข้ามคือ สังคมชนบทเป็นสังคมพึงประสงค์และสังคมเมืองเป็นสิ่งน่ารังเกียจเพราะมีแต่ความเลวร้ายภายใต้คราบความทันสมัย
วัฒนธรรมที่แข็งกว่าย่อมกลืนวัฒนธรรมที่อ่อนกว่า: นักวิชาการกล่าวเสมอว่า สังคมย่อมเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมย่อมเปลี่ยนแปลง ผู้บันทึกยังเห็นการรุกรานทางวัฒนธรรมอีกด้วย มีตัวอย่าง เมื่อผู้บันทึกทำงานใหม่ในชนบทภาคเหนือ เห็นว่าเป็นวัฒนธรรมเปิดที่ดีงาม บริสุทธิ์ เอื้อเฟื้อ ต้อนรับ มีเมตตา และมองคนในแง่ดีแม้คนแปลกหน้า เมื่อขับมอเตอร์ไซด์ไปตามหมู่บ้านต่างๆในเขตภูเขาจากบ้านนี้ไปบ้านโน้นเพื่อทำความรู้จักพื้นที่ คน ฯลฯ
ระหว่างทางก็จะพบชาวบ้านทำกิจกรรมในไร่นา หรือเดินไปธุระที่โน่นที่นี่ หากเราจะจอดรถซักถาม เขาเหล่านั้นก็จะตอบด้วยดีและถามไถ่เราด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หากคุยกัน 2-3 คำ เข้าใจกันดีว่าเป็นใครมาจากไหน หลายคนก็ชักชวนไปเที่ยวบ้าน กินน้ำกินท่า เมื่อถึงเวลาอาหารก็จะชวนกินข้าวกินปลาตามประสาพื้นบ้าน หากพบกันสัก 2 ครั้งก็ชวนพักผ่อนที่บ้านได้เลย อีก 2 – 3 ปีผ่านมามีคนต่างถิ่นหน้าตาไม่คุ้นแบบผู้เขียนเข้าไปหมู่บ้านอื่นๆใกล้เคียงอีก ก็เดาว่าคนแปลกหน้าคนนั้นก็คงได้รับการปฏิบัติอย่างที่ผู้บันทึกได้รับเช่นกัน แต่แล้วอีก 1 เดือนถัดมามีข่าวลือว่า สาวในหมู่บ้านหายไป และเล่าขานกันว่าไปกับชายหนุ่มคนนั้น และเกิดแบบเดียวกันในหมู่บ้านอื่นๆอีก อย่างน้อย ปีละ ครั้งสองครั้ง
จากการติดตามข่าวคราวทราบว่าชายหนุ่มต่างถิ่นได้มาล่อลวงหญิงสาวไป ผู้เขียนจะไม่สาธยายรายละเอียดต่อ แต่จะเสนอมุมมองว่า วัฒนธรรมเหนือที่ดีมากๆที่ผู้เขียนชื่นชมนั้น เป็นช่องว่างสำหรับผู้แสวงหาประโยชน์ โดยอาศัยวัฒนธรรมที่ดีงามนี้เป็นตัวนำร่องเข้าไปสู่เป้าหมายของเขา กล่าวอีกที วัฒนธรรมที่ดีกลายเป็นช่องว่างสำหรับผู้แสวงหาประโยชน์ไปหมดสิ้น
คนต่างถิ่นได้อาศัยความมีเมตตา เอื้อเฟื้อ ต้อนรับ เจาะเข้าหาครอบครัวที่มีหญิงสาว พูดคุย ตีบทเป็นผู้ดีอย่างน่าไว้ใจ หรือ ไม่มีอะไร เป็นช่องเปิดให้เข้าหาหญิงสาวแล้วล่อหลอกให้เธอไปหางานทำดีๆ เงินทองมากๆ จะสบายในอนาคต ไม่ต้องเอาผ้ามาพันหน้าตาออกทำงานในไร่ตากแดด เช่นที่เป็นอยู่ ความบริสุทธิ์ใจจึงตกเป็นเหยื่อของผู้ประสงค์ร้ายไปในที่สุด เมื่อเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ซ้ำซากในท้องถิ่น เสียงร่ำลือ เสียงเล่าขานทำให้เกิดความหวาดกลัว และความระแวงสงสัยเกิดขึ้น และวัฒนธรรมอันดีงามที่ถ่ายทอดมาเป็นเวลานานแสนนานก็สิ้นสุดลง ด้วยคนที่มุ่งแสวงหาประโยชน์ดังกล่าว
สังคมดงหลวงก็ไม่พ้นการเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในทำนองเดียวกัน ของคนภายนอกในรูปแบบที่แตกต่างกัน เพราะเขาไม่ได้ใส่หน้ากากยักษ์มารอะไร เพราะเขาไม่ได้เป็นคนที่ดุร้ายน่ากลัวด้วยรูปร่างหน้าตาแต่อย่างใด แต่เหมือนกับเรากับท่าน การเข้าไปเอาเปรียบชนบทมีรูปแบบแตกต่างกันมากมาย ทั้งเด่นชัด ทั้งแอบแฝง ดังนั้นการพัฒนาชุมชนมันมีงานทำมากกว่ากิจกรรมการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ การเพิ่มภูมิคุ้มกันในแง่ของการรู้เท่าทัน ก็มีส่วนสำคัญอย่างกรณีตัวอย่างที่ยกมาก ท่านคิดอย่างไรเล่าครับ
โครงการแบบไหนที่จะเบ็ดเสร็จในเรื่องรอบด้านในการทำงานพัฒนาชุมชน โครงการที่จะทำงานแบบเบ็ดเสร็จจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ใครกำหนด ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาวัฒนธรรมดีๆ ให้เป็นวัฒนธรรมที่แข็งขึ้นมาควบคู่กับกิจกรรมอื่นๆที่มักเป็นกิจกรรมหลักของโครงการพัฒนาต่างๆ โดยมองข้ามสาระของวัฒนธรรมชุมชนไปหมดสิ้น อาจจะมีเพียงการพูดถึง เท่านั้น ทั้งๆที่วัฒนธรรมชุมชนคือแรงเกาะเกี่ยวที่สำคัญของชุมชน ของสังคม หรือวัฒนธรรมชุมชนคือทุนทางสังคมที่ใครๆก็ยอมรับว่าสำคัญ กิจกรรมด้านนี้ควรอยู่ในเมนูหลักของการพัฒนาเสียด้วยซ้ำไป ใช่ไหมครับท่าน
สวัสดีครับ
อ่านแล้วชื่นใจดี ส่วนอีนางที่ตามใครไป ก็เป็นธรรมดามั่งครับ เพราะเธอเลือกของเธอเอง? (ถ้าเธอโตแล้ว )
ที่หนักว่านั้นคือทุกวันนี้ทางเหนือจะมีรถตู้มาจับเด็กไปสิครับ และกระชากกันซึ่งหน้าที่เด่นชัยนี้เอง
เด็กที่หนีหลุดมาได้เล่าให้ตำรวจฟังว่า เป็นฝรั่งหนึ่ง แขกสองอยู่ในรถตู้
พ่อแม่ช็อคร้องไห้กันขรม ทุกวันนี้ตำรวจยังปราบแก๊งนี้ไม่ได้
น่าหนักใจ
การหาประโยชน์จากความใสซื่อของชาวบ้าน เป็นความหดหู่มาก ๆ ครับ...
คนในชุมชนคงต้องเรียนรู้ในการที่จะเลือกไว้ใจหรือไม่ไว้ใจคนต่างถิ่น...
เราน่าจะมีวิธีรักษาวัฒนธรรมอันงดงามในชุมชนชนบทไว้นะครับ...
ขอบคุณครับ...
วัฒนธรรมชุมชนมีคุณค่าและดีงามเช่นนี้ ยังมีคนมาแสวงหาผลประโยชน์จากวัฒนธรรมเหล่านี้ไปซะได้...เพราะวัฒนธรรมชุมไม่มีภูมิคุ้มกันพอ...หรือเพราะสังคมภายโหดร้าย เกินที่วัฒนธรรมชุมชนจะต้านทานได้...การสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางงานพัฒนาก็หวังเพื่อที่จะได้รู้เท่าทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศ โลก ไม่เกินไปอาจถึงจักรวาล...รวมถึงสร้างภูมิคุ้มกันเหล่านั้น...แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญในงานพัฒนา...แต่คงไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์แบบ...เพราะชุมชนไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาล...ดังนั้น...ทำอย่างไรชุมชนจะเข้มแข็งและอยู่ได้อย่างยั่งยืน...ก็คงเป็นโจทย์ที่นักพัฒนาพยายามขบคิดมาตลอด...อย่างไรก็ตามปัญหาที่พบเห็นช่วยเปิดมุมมองให้เรากว้างขึ้น...ขอบคุณพี่บางทรายครับ
สวัสดีค่ะคุณบางทราย
มาขานชื่อค่ะ..แต่มาพร้อมกับหัวเราะเขินๆที่บันทึกที่แล้ว เบิร์ดเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน เพราะไม่ทราบว่าคุณบางทราย รู้จัก คุ้นเคยกับผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยชีวิต..โอ้ย ! แตกยับ
อ่านบันทึกนี้นึกถึงที่พี่ต้นตอบคำถามเบิร์ดเมื่อเบิร์ดถามว่า " จะทำงานชุมชนยังไงให้ยั่งยืน "..พี่ต้นตอบว่า " เข้าให้ถึงวัฒนธรรมของชุมชน แล้วให้เค้าต่อยอดในสิ่งที่เค้ามี " ( จริงๆมีอีกยาว ) .." เราเป็นเพียง Facilitator เท่านั้น ไม่ใช่ Controlor "
บันทึกนี้ทำให้เบิร์ดเข้าใจความหมายของการพัฒนาและมองเห็นภาพได้ดีขึ้นค่ะ