การเรียนร่วม
การเรียนร่วมเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือพิการได้เข้าเรียนรู้สังคมและสิ่งแวดล้อมของชั้นเรียนเด็กปกติ
เพื่อให้ปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้
จากการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและจากการทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน
นโยบายการศึกษาชาติได้ให้โอกาสทางการศึกษาแก่คนไทยทุกคนให้สามารถเรียนได้ในทุกที่ที่เปิดเรียนทั้งคนปกติและคนไม่ปกติซึ่งหมายถึงผู้พิการ
ผู้มีปัญหาสุขภาพ และเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ทั้งนี้ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันทางสังคม
เกิดการยอมรับในความเป็นมนุษย์
สร้างความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันนับเป็นนโยบายการศึกษาที่สร้างสรรค์ความเป็นคน
และความสมบูรณ์ทางสังคม
แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้กำหนดนโยบายทางการศึกษาต้องคำนึงถึงและนำมาพิจารณาให้เป็นรูปธรรมคือ
การสร้างโอกาสทางการศึกษาและการสร้างความเป็นคนที่เข้าใจกันและเมตต่านั้นต้องเกิดจากการพัฒนากรอบการดำเนินงานอย่างมีแบบแผน
มิใช่เพียงเพื่อได้กระทำ
แต่ต้องเป็นการกระทำผ่านการพิจารณาถึงมาตรฐานการศึกษา
และสร้างความเป็นไปได้ที่มีคุณค่าแท้จริงด้วย
มิฉะนั้นนโยบายที่กำหนดมานั้นมีปัญหาเมื่อนำไปปฏิบัติ
ขาดคุณค่าตามเจตนาการศึกษาของประเทศ
อะไรคือการเรียนร่วม
การเรียนร่วมเป็นนโบายการศึกษาที่กำเนิดในช่วงของการปฏิรูปการศึกษา
แล้วมีการผันตัวอย่างรวดเร็วโดยล้อตามการเปลี่ยนแปลงของประเทศพัฒนา
การเรียนร่วมเป็นนโยบายทางสังคม
เป็นกระบวนการที่จัดขึ้นสำหรับเด็กพิการรายบุคคล
โดยเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษหรอืพิการได้เข้าร่วมกิจกรรมการศึกษา
นันทนาการและสังคมกับเด็กปกติในสังคมทั่วไป
ซึ่งการเรียนร่วมทางการศึกษาปฐมวัยเน้นเจาะจงเฉพาะการให้เด็กที่บกพร่องและเด็กปกติได้ทำงานและเล่นด้วยกันในชั้นเรียนด้วยกัน
(Williams and Fromberg. 1992 : 324)
การเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติและบรรยากาศปกติใช้คำว่า Mainstreaming
แต่มีลักษณะของเด็กที่เข้าเรียนร่วมหลายลักษณะ
การจัดการเรียนร่วมจึงมีการใช้คำหลากหลายความหมายกล่าวคือ
การเรียนร่วมที่ใช้คำว่า Mainstreaming
หมายถึงการให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษ เด็กพิการเด็กปัญญาอ่อน
เข้ามาเรียนในชั้นเรียนปกติตามกระบวนการเรียนการสอน
หลักสูตรและชั้นเรียนที่เด็กปกติทั่วไปเรียน
เพื่อให้เด็กที่เข้ามาเรียนร่วมได้เรียนรู้สังคมและการศึกษาเพื่อปรับตัวได้
ไม่มีการปรับการจัดการศึกษาสิ่งใดเป็นพิเศษ
ส่วนการเรียนร่วมที่ใช้คำว่า Inclusion และ Integration
หมายถึงการเรียนร่วมเช่นกันแต่แตกต่างที่ประเภทเด็กที่เข้าเรียนและลักษณะการเรียนดังนี้
(Morrison, 2000 : 320-325)
• การเรียนร่วมของเด็กพิการ (Inclusion) หมายถึง
การศึกษาที่เปิดโอกาสให้เด็กพิการเข้ามามีส่วนร่วมเรียนกับเด็กปกติทั่วไปในชั้นเรียนปกติ
โดยเข้าเรียนเต็มเวลาหรือเข้ามาเรียนบางเวลา
จุดประสงค์เพื่อให้เด็กพิการได้เรียนรู้สังคมและธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของคนปกติทั่วไป
• การเรียนร่วมของเด็กพัฒนาการช้า (Integration)
เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีพัฒนาการอยู่ในระดับเกณฑ์เฉลี่ยของปกติหรือต่ำกว่าเล็กน้อย
ที่สามารถเข้ามาเรียนร่วมในชั้นปกติเต็มเวลาหรือบางเวลาบางเรื่องได้
จุดประสงค์เพื่อให้เรียนรู้การปรับตัวเข้าสู่สังคมปกติ
จากลักษณะของการเรียนดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการเรียนร่วมคือการจัดการศึกษาที่เปิดโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือพิการเข้าเรียนในกระบวนการเรียนการสอนตามปกติของเด็กทั่วไป
โดยให้ทำกิจกรรมตามปกติในชั้นเรียน ไม่มีบริการพิเศษ
ยกเว้นเด็กบางรายที่จำเป็นอาจต้องเข้าโปรแกรมพิเศษเพาะ เช่น การฝึกพูด
หรือเด็กที่มีปัญหามากอาจเข้ามาเรียนร่วมกับเกปกติในบางเวลา
บางกิจกรรมได้โดยใช้กระบวนการแบบธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมที่เป็นปกติทั่วไป
การเรียนร่วมเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือเด็กพิการเข้ามาเรียนในชั้นเรียนกับเด็กปกติ
ทั้งนี้เพื่อให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือเด็กพิการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาและปรับตนเองให้สามารถอยู่กับสังคมปกติได้
สาเหตุเนื่องมาจากแต่เดิมนั้นเชื่อว่าชั้นเรียนที่ดีที่สุดสำหรับเด็กพิการคือการศึกษาพิเศษ
ซึ่งพบว่าไม่จริงเพราะปรากฏว่าเด็กที่มีปัญหาแต่ถูกทิ้งให้ต่อสู้ตามธรรมชาติแล้วปรับตัวเองได้ดีกว่า
และสามารถดำเนินชีวิตได้ดีกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศผู้นำเด็กปัญญาอ่อน
จึงคิดหารูปแบบการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีปัญหาใหม่
โดยเน้นให้เด็กสามารถบูรณาการการเรียนรู้สังคมและวิชาการให้กับเด็กมีปัญหาเช่น
เด็กปัญหาอ่อน
จากแนวคิดนี้นักการศึกษาสหรัฐอเมริกาจึงเสนอให้มีการเรียนการสอนเด็กปัญญาอ่อนในชั้นเรียนปกติ
โดยออกเป็นพระราชบัญญัติการศึกษาสำหรับเด็กพิการ ในปี ค.ศ. 1975
กำหนดว่าการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิการต้องมีข้อจำกัดของสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดนโยบายการศึกษานี้ให้เรียกว่า
"การเรียนร่วมหรือ mainstreaming"
ซึ่งหมายความว่าเด็กปัญญาอ่อนสามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนปกติได้มิใช่เพื่อล
าการปัญญาอ่อนแต่เชื่อว่าจะทำให้เด็กที่มีสติปัญญาต่ำหรือปัญาญาอ่อนสามารถปรับพฤติกรรมและปรับปรุงการดำรงชีวิตตนเองได้ดีกว่าการเรียนแต่ในกลุ่มของตนเอง
(Roediger III, el. 1984 : 375 - 376)
โรงเรียนและศูนย์เด็กที่เปิดการเรียนร่วมจะได้รับเงินกองทุนสนับสนุนจากรัฐบาล
การจัดการเรียนการสอนนี้ห้ามแยกขั้นเรียนเฉพาะเด็ดขาด
เว้นเสียแต่ว่าเด็กพิการนั้นมีความรุนแรงจนไม่สามารถจัดการบริการตามปกติได้
เพื่อป้องกันปัญหานี้เด็กผิดปกติทุกคนที่จะเข้าโรงเรียนได้
ต้องได้รับการประเมินภาพเพื่อวินิจฉัยการเข้าเรียนก่อนว่ามีความสามารถระดับใด
ถ้าเขาสามารถเข้าเรียนร่วมในโรงเรียนปกติได้จะเชิญให้ผู้ปกครองเข้ามาร่วมมือกับครูในการวางแผนการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเด็กเป็นรายบุคคล
(Individual Education Plan IEP) ในชั้นเรียนนั้น ๆ (Williams and
Fromberg, 1992 : 325)
ซึ่งต่อมาระยะหลังการจัดการเรียนร่วมได้เอื้อไปถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กมีความพิการหรือเด็กมีปัญหาอื่นด้วย
สำหรับประเทศไทยการจัดการศึกษาแบบการเรียนร่วมได้กำหนดเป็นเพียงนโยบาย
ส่วนการดำเนินการในทางปฏิบัติขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละหน่วยงานหรือโรงเรียน
จุดประสงค์ของการเรียนร่วม
ปัจจุบันสังคมไทยค่อนข้างคุ้นเคยกับการเรียนร่วมของเด็กมีปัญหาหรือเด็กพิการในชั้นเรียนปกติ
และยอมรับมากขึ้น
จุดประสงค์ของการเรียนร่วมเพื่อให้เด็กปฐมวัยที่บกพร่องซึ่งอาจมีปัญหาสุขภาพหรือความต้องการพิเศษหรือพิการได้รับประสบการณ์ที่ส่งเสริมพัฒนาการตามวัยที่เหมาะสม
โดยได้สัมผัสกับเด็กที่มีพัฒนาการตามปกติ
เด็กปกติจะเป็นตัวอย่างการเรียนรู้
ทักษะพัฒนาการให้กับเด็กบกพร่องที่สามารถช่วยให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษสามารถพัฒนาตนเองได้
ในขณะเดียวกันเด็กปกติสามารถเรียนรู้ ยอมรับ เห็นคุณค่า
และเข้าใจถึงความแตกต่างของคนด้วย (Williams and Fromberg, 1992 :
324-325)
สิ่งที่เด็กพิการหรือมีความต้องการพิเศษจะได้จากการเรียนร่วมคือ
1. เรียนรู้สังคม
และปรับตัวให้เข้ากับสังคมปกติได้อย่างมีความสุขและไม่เป็นปัญหาสังคมในอนาคต
2.
สังคมและธรรมชาติการเรียนการสอนในชั้นเรียนปกติจะเป็นตัวกระตุ้นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
หรือพิการให้ฟื้นค้นสภาพได้มากที่สุด
เด็กที่เข้าเรียนร่วมจะเกิดการรับรู้ มีการปรับตัวระหว่างการเรียนร่วม
ภาวะนี้เรียกว่าสังคมบำบัด
3.
ผลข้างเคียงที่ได้ตามมาคือเด็กปกติได้เรียนรู้และเข้าใจผู้ร่วมสังคมที่พิการ
หรือมีความต้องการพิเศษได้
ประเภทของการเรียนร่วม
ดังกล่าวแล้วว่าการเรียนร่วมเป็นการเปิดโอกาสการศึกษาให้กับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กพิการหรือมีปัญหาทางสติปัญญาได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนปกติและบรรยากาศปกติกับเด็กปกติ
โดยเด็กที่เข้ามาเรียนร่วม ได้แก่เด็กที่มีความต้องการพิเศษ เด็กพิการ
เด็กปัญญาอ่อน เด็กออทิสติก รวมทั้งเด็กมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เป็นต้น
ซึ่งต่อไปนี้จะใช้คำว่าเด็กเรียนร่วมแทนความหมายถึงลักษณะของเด็กดังกล่าว
ปัญหาของการเรียนร่วมที่สำคัญอยู่ที่ระดับความรุนแรงของปัญหาของเด็กเรียนร่วมซึ่งมีผลต่อการรับเข้าเรียน
การดูแลและการจัดการเรียนการสอน ตัวอย่างเช่น
ปัญญาอ่อนสามารถจำแนกได้เป็น 4 ระดับ (Salkind et. Al, 1987) คือ
• ปัญญาอ่อนเล็กน้อย
• ปัญญาอ่อนปานกลาง
• ปัญญาอ่อนรุนแรง
• ปัญญาอ่อนรุนแรงมาก
ปัญญาอ่อนแต่ละระดับดังกล่าวมีความต้องการดูแลมากน้อยต่างกัน
ซึ่งทำให้การจัดการเรียนร่วมแตกต่างกัน
เด็กปัญญาอ่อนรุนแรงไม่สามารถอยู่ในห้องเรียนปกติได้เพราะต้องใช้ครูดูแลอย่างเฉพาะตามปัญหาของเด็กเด็กปัญญาอ่อนอาจเข้าร่วมเรียนได้ในบางเวลาตามปัญหาเด็กเรียนร่วมดังกล่าวทำให้จำแนกการเรียนร่วมเป็น
2 ประเภท ดังนี้
1. การเรียนร่วมเต็มเวลา
หมายถึงการจัดการศึกษาสำหรับเกที่เรียนร่วมเข้าเรียนในกระบวนการเรียนการสอนปกติในชั้นเรียนปกติ
และเวลาปกติ จำแนกชั้นเรียนเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
1. ชั้นเรียนปกติและการเรียนการสอนปกติ
ใช้สำหรับเด็กเรียนร่วมที่มีปัญหาน้อยมีความสามารถในการเรียนและพร้อมในการเรียนทั้งวุฒิภาวะทางอารมณ์และสังคม
ตัวอย่าง เช่น เด็กปัญญาอ่อนเล็กน้อย เป็นต้น
2. ชั้นเรียนปกติแต่มีครูการศึกษาพิเศษเป็นที่ปรึกษา
ชั้นเรียนแบบนี้ใช้สำหรับเด็กเรียนร่วมที่มีความพร้อมในการเรียนกับเด็กปกติ
แต่มีปัญหาเฉพาะที่ต้องการพัฒนาเป็นพิเศษ
ซึ่งครูปกติต้องได้รับความช่วยเหลือจากครูการศึกษาพิเศษมาช่วยในชั้นเรียนเป็นที่ปรึกษา
หรือให้บริการเป็นบางเรื่อง บางกรณี เช่น การฝึกพูดสำหรับเด็กออทิสติก
เป็นต้น
2. การเรียนร่วมบางเวลา
ดังกล่าวแล้วว่าเด็กเรียนร่วมนอกจากมีปัญหาที่แตกต่างกันแล้วระดับความรุนแรงของปัญหายังแตกต่างด้วยทำให้การจัดการศฯกษาสำหรับเด็กเรียนร่วมบางครั้งไม่สามารถจัดให้เด็กเรียนร่วมเข้าเรียนเต็มเวลาได้
เด็กเรียนร่วมจะเข้ามาเรียนร่วมบางเวลาดังนี้
1. เข้าเรียนในชั้นเรียนปกติบางชั่วโมงหรือบางกิจกรรม
วิชาที่เด็กเรียนร่วมเข้าเรียนจะเป็นรายวิชาที่เนื้อหาไม่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางสังคม
เช่น พลศึกษา ศิลปะหรือกิจกรรมนอกหลักสูตร
หรือในกรณีที่เด็กเรียนร่วมยังมีปัญหาการปรับตัว
การเข้าเรียนจะต้องจัดเป็นกลุ่มเล็ก ๆ
เพื่อให้เด็กเรียนร่วมได้ปรับตัวได้และไม่มีปัญหาการควบคุมชั้นเรียน
2.
ชั้นเรียนพิเศษในโรงเรียนปกติการจัดการเรียนการสอนแบบนี้เป็นการจัดชั้นเรียนพิเศษเฉพาะเด็กเรียนร่วม
ใช้สำหรับเด็กเรียนร่วมที่มีปัญหารุนแรง
หรือต้องการการดูแลพิเศษเด็กเรียนร่วมจะถูกแยกห้องเรียน
ไม่ปะปนกับเด็กปกติ
แต่ชั้นเรียนนั้นยังอยู่ในโรงเรียนปกติมีครูการศึกษาพิเศษประจำ
เด็กจะไม่ออกมาเรียนร่วมกับเด็กปกติ
แต่เรียนในห้องเรียนตัวเองอย่างน้อยได้สัมผัสบรรยากาศของโรงเรียนปกติ
การจัดชั้นเรียนแบบนี้เชื่อว่าดีกว่าการจัดชั้นเรียนแบบแยกเอกเทศ
ไม่อยู่โรงเรียนเด็กพิเศษตามแบบเดิม
ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้สภาพสังคมจริง
และเด็กปรับตัวได้ยากเพราะไม่เคยเห็นสังคมปกติ
ซึ่งอย่างน้อยการมีห้องเรียนอยู่ในโรงเรียนปกติยังสร้างการเรียนรู้สังคมได้
การจัดชั้นเรียนสำหรับเด็กเรียนร่วม
ห้องเรียนเป็นบริบทของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของความเป็นเพื่อนที่สำคัญของเด็กเด็กจะเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อน
รู้จักการปรับตัวรู้จักให้ รู้จักตนเอง และรู้จักผู้อื่น
แม้แต่เด็กปฐมวัยก็สามารถแสดงถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน เช่น
การให้ตุ๊กตากัน ความสัมพันธ์อาจขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของเด็ก
เป็นหน้าที่ของครูและผู้ปกติที่ต้องช่วยสร้างเด็กให้รู้จักมิตรภาพสามารถเข้ากลุ่มเพื่อนได้และแก้ปัญหาได้เป็นสำคัญ
(Williams and Fromberg, 1992 : 262)
การจัดห้องเรียนจึงมีความสำคัญสำหรับการนำเด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือพิการมาเรียนร่วมกับเพื่อนปกติ
สิ่งหนึ่งที่ต้องการพิจารณาถึงการจัดห้องเรียนร่วมคือเด็กเรียนร่วมทุกคน
มิได้หมายความว่าจะเข้าชั้นเรียนปกติได้ทั้งหมด
ขึ้นอยู่กับระดับความพิการ วุฒิภาวะ
ความพร้อมทางอารมณ์และสังคมของเด็ก
ถ้าเด็กพิการน้อยความพร้อมสูงก็จะสามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนกับเด็กปกติได้
ตัวอย่างเช่น เด็กที่มีปัญหาทางปัญหากลุ่มปัญญาอ่อน
เด็กที่จะเข้าเรียนปกติได้ต้องเป็นเด็กที่มี IQ ต่ำกว่าปกติเล็กน้อย
เป็นกลุ่มปัญญาอ่อนน้อย
ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายอ่อนรุนแรงที่ต้องดูแลพิเศษ เป็นต้น
การจัดากรเรียนร่วมที่มีประสิทธิภาพห้องเรียนนั้นต้องสอดคล้องกับศักยภาพของเด็กเรียนร่วม
และเด็กในชั้นเรียนปกติ
เพื่อป้องกันอาการเครียดที่เกิดจากความไม่พร้อมของเด็ก
เมื่อต้องการสร้างเสริมความสามารถของเด็กเรียนร่วม
และประโยชน์ที่เด็กพึงได้รับการคัดเลือกเด็กเข้าชั้นเรียนและจัดชั้นเรียนมีความหมายมาก
ปรัชญาของการเรียนร่วมมุ่งถึงบรรยากาศทางสังคม
และสิ่งแวดล้อมปกติที่เด็กเรียนร่วมต้องเรียนรู้
ซึ่งถ้าเหมาะสมกับเด็ก
เด็กจะได้ประโยชน์มากทั้งเด็กปกติและเด็กเรียนร่วม
ผลที่ตามมาคือความง่ายสำหรับครูในการจัดชั้นเรียนให้สอดคล้องกับลักษณะเด็ก
ประโยชน์ทางการศึกษาและปรัชญาการเรียนร่วม
เราสามารถจัดชั้นเรียกออกได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
ลักษณะที่ 1 ห้องเรียนปกติ
เป็นชั้นเรียนที่ไม่ต้องมีการปรับหรือเปลี่ยนสิ่งใดเป็นพิเศษ
เด็กเรียนร่วมสามารถเข้าเรียนได้เหมือนเด็กปกติ
แต่เด็กเรียนร่วมที่จะเข้าชั้นเรียนปกติได้นี้ต้องมีปัญหาความต้องการพิเศษน้อยมากและพร้อมยอมรับกระบวนการเรียนตามปกติของชั้นเรียนได้
ลักษณะที่ 2 ห้องเรียนบำบัด เปิดสอนโดยมีชั่วโมงพิเศษ
ใช้สำหรับเด็กเรียนร่วมที่มีปัญหาเฉพาะที่ต้องได้รับการฝึกบางอย่างเป็นพิเศษ
เด็กเรียนร่วมกลุ่มนี้จะมีชั่วโมงและวิชาแยกไปเรียนพิเศษเพื่อฝึกและเรียนเฉพาะเช่น
ห้องวจีบำบัดใช้สำหรับการสอนภาษาให้แก่เด็กเรียนร่วม เป็นต้น
ลักษณะที่ 3 ห้องเรียนพิเศษ
เป็นห้องเรียนเฉพาะที่จัดสำหรับเด็กเรียนร่วมที่มีปัญหามาก
ต้องการครูการศึกษาพิเศษ และบรรยากาศการเรียนเฉพาะ
เด็กห้องเรียนพิเศษรวมถึงเด็กเรียนร่วมที่สามารถออกมาเข้าร่วมกิจกรรมกับเด็กปกติได้ในบางกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้สังคมปกติ
โอ้โห่.....
????
ข้อมูลนี้มีประโยชน์มาก แต่อยากทราบว่าจะหาแหล่งอ้างอิงได้จากไหนคะ เพราะนำไปค้นคว้าต่อไม่ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ