ตอนที่ไปวิปัสสนาอยู่นั้น ได้นั่งอ่านหนังสือบางเล่มซึ่งเขียนเรื่องความหมายของใจ จิต อารมณ์ สติไว้ จึงเขียนสรุปตามความเข้าใจของตัวเอง
ใจ ในความหมายคือสิ่งที่ตั้งอยู่มีมาก่อนเกิดและจะมีอยู่หลังตายเว้นแต่นิพพาน
จิต ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากธรรมทั้งมวลที่สัมผัส จากการมีขันธ์ ฯลฯ มีการรับรู้ในระดับต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความละเอียดของตัวจิต
อารมณ์ เป็นตัวแปรจิตให้ติดตามไป จิตจึงเปลี่ยนสภาพไปตามอารมณ์
สติ เป็นสิ่งที่ช่วยละอารมณ์(แห่งความขุ่นมัว) ออกจากจิต และดึงจิตกลับมาสู่ใจ
แท้จริงแล้วใจเป็นความว่าง ๆ ไม่มีอะไร อุปมาเรียกว่าใจ อยู่ในตัวเรา จะเป็นของตัวเราก็ไม่ใช่ จะไม่ใช่ของตัวเราก็ไม่ใช่
ข้างล่างนี้เป็นความหมายของจิตตามที่ ดร.สนอง วิรอุไร ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ทางสายเอก
จิตเป็นพลังงานที่เคลื่อนที่ได้เร็วมาก ความถี่คลื่นละเอียดมาก มีการเกิดดับคล้าย ๆ พลังงานไฟฟ้า เป็นพลังงานอมตะและเปลี่ยนคุณภาพได้ สิ่งที่ดีที่สุดของพลังงานจิตนี้คือ มีธาตุรู้อยู่ในตัวของมันเองโดยอัตโนมัติ มีหน้าที่
1. รับสิ่งกระทบ เข้าปรุงแต่งเป็นอารมณ์
2. สั่งร่างกายผ่านระบบประสาทสมอง โดยสมองเป็นเครื่องมือให้จิตใช้ทำงาน
3. สะสมผลของการกระทำที่เก็บข้อมูลได้
ถ้อยคำ ภาษา คงทำให้เรา "เข้าใจ" ความหมายของคำสี่คำนี้ได้ระดับหนึ่งนะครับ (จริงๆ ต้องพูดว่า "เข้าหัว" มากกว่า "เข้าใจ")
ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์มักเน้นย้ำอยู่เสมอว่า ความกระจ่างที่แท้จริงในสิ่งต่างๆ (รวมทั้งคำสี่คำนี้) มีวิธีเดียวคือผ่าน "การปฏิบัติ" เท่านั้น!!
ธรรม.. นั้นรู้ได้เฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม :)
(ไม่ได้เขียนตอบคอมเมนท์เลยซักที .. เพราะไม่มีมุขจะเขียน หุหุหุ)
เคยอ่านมาบ้างเหมือนกัน เค้ากล่าวถึงความแตกต่างระหว่างสติกับสมาธิ โดยทั่วไปเรามักจะเรียกควบกันไป แต่ความจริงมันมีความหมายของมันเองในแต่ละคะ อย่างที่มีคนเขียนไว้ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่การปฏิบัติ ถึงไม่รู้ความหมายของคำเหล่านี้ เราปฏิบัติได้จริง มันจะเกิดความเข้าใจและสัมผัสได้ ไม่ใช่เข้าหัวอย่างที่คอมเม้นท์แรกบอกไว้
ได้อะไรดีๆ เยอะเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ