การบริหารงานแบบ KM
ผมเกิดจินตนาการเรื่องนี้ระหว่างนั่งประชุมสภามหาวิทยาลัย จุฬาฯ วันที่ 24 พ.ย.48 มีการพิจารณาเกณฑ์ภาระงานขั้นต่ำของนักวิจัย ซึ่งจำเป็นต้องกำหนดไว้สำหรับใช้ประเมินตัวบุคคล และใช้ในการบริหารหน่วยงานฟังการอภิปรายโดยกรรมการสภาที่เป็นอาจารย์ประจำแล้ว รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่อธิการบดีและทีมบริหารของอธิการบดีจะต้องออกแรงชี้แจงเกณฑ์นี้ต่อผู้ที่มีตำแหน่งนักวิจัยทั่วทั้งมหาวิทยาลัย
ผมเกิดความรู้สึกว่าประเด็นเกณฑ์ภาระงานขั้นต่ำนี้เป็นเพียงส่วนย่อยนิดเดียวของการบริหารงานบุคคลด้านการวิจัย และของระบบวิจัยของมหาวิทยาลัย ซึ่งหัวใจคือ output ด้านการวิจัยที่เกิด impact ต่อสังคม
การมีเกณฑ์ภาระงานขั้นต่ำเป็นของดี และเกณฑ์ที่เสนอในที่ประชุมก็เหมาะสม แต่ผมเป็นห่วงว่าเวลาปฏิบัติจริงถ้าเราบริหารกฎระเบียบและนักวิจัยก็ทำงานเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ขั้นต่ำ งานวิจัยก็จะไม่พัฒนา ไม่มีผลลัพธ์และผลกระทบที่มีคุณค่า
จะเกิดผลงานวิจัยที่ทรงคุณค่า การบริหารงานและการปฏิบัติงานต้องเลย (beyond) เกณฑ์ขั้นต่ำไปเป็น 2 เท่า 3 เท่า หรืออาจถึง 5 - 10 เท่า สมัยที่ผมยังหนุ่ม ๆ ทุ่มเททำงานวิชาการใน ม.สงขลานครินทร์ ผมเคยประมวลภาระงานของตัวเองและบอกตัวเองอยู่คนเดียวด้วยความภูมิใจว่าผมทำงานให้แก่มหาวิทยาลัยไม่ต่ำกว่า 5 เท่าของเกณฑ์ขั้นต่ำ เมื่อพิจารณาที่ผลงานทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ
การที่ผลงานวิจัยจะทรงคุณค่า คนทำงานและผู้บริหารต้องมุ่งที่ผลงาน ไม่ใช่มุ่งที่เกณฑ์ขั้นต่ำของภาระงาน
คือต้องบริหารผลงาน ไม่ใช่บริหารเกณฑ์ขั้นต่ำ
การบริหารผลงาน ควรบริหารแบบ KM
การบริหารแบบ KM เน้นที่บริหารความสำเร็จ เอาความสำเร็จตามเป้าหมาย (วิสัยทัศน์) ของมหาวิทยาลัยมา ลปรร. กัน ท่ามกลางความชื่นชมยินดีและสกัด Knowledge Assets เพื่อการบรรลุเป้าหมายนั้น ๆ ไว้ใช้งานและยกระดับความรู้นั้นขึ้นไปเป็นวงจรไม่รู้จบ
นอกจาก KA และ KS ก็ต้องบริหาร KV ด้วย คือคอยหมั่นตรวจสอบว่าองค์กรบรรลุผลสำเร็จตาม KV มากน้อยเพียงใด ส่วนไหนที่ยังอ่อนแอก็พยายาม "คว้า" (capture) ความรู้จากภายนอกและ "ค้น" ความรู้จากภายใน เอามา ลปรร. กันเพื่อยกระดับการปฏิบัติและยกระดับความรู้ เป็นวงจรไม่รู้จบ
วิจารณ์ พานิช
24 พ.ย.48
ไม่มีความเห็น