ต่อมา De Broglie นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ฟิสิกส์ได้เสนอทฤษฎีว่า ถ้าแสงเป็นทั้งคลื่นและอนุภาควัตถุก็ควรเป็นทั้งคลื่นและอนุภาคด้วยเช่นกัน และเขายังตั้งสมมติฐานอีกว่าความยาวคลื่นของวัตถุต่างๆควรจะมีค่าผกผันกับโมเมนตัมของมัน (โมเมนตัม = มวล *ความเร็ว) De Broglie ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากทฤษฎีนี้
ต่อมา G.P. Thomson ได้ทดลองเกี่ยวกับการกระจายตัวของ electronเมื่อกระทบกับผลึกทำให้พิสูจน์ได้ว่า electron นอกจากเป็นอนุภาคแล้ว ยังเป็นคลื่นอีกด้วยและความยาวคลื่นของ electron ก็มีค่าเท่ากับที่คำนวณได้จากสูตรของ De Broglie ทุกประการ และ G.P. Thomsonก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการทดลองนี้
ต่อมา Schroedinger นักฟิสิกส์ชาวออสเตรีย ก็ได้ใช้หลักของ คลื่น-อนุภาค อธิบายได้ว่า ทำไมวงโคจรของ electron ในอะตอมจึงมีเสถียร (ถ้าelectron ไม่มีสภาวะเป็นคลื่นด้วย วงโคจรของ electron ในอะตอมจะไม่ มีเสถียร electron จะถูกดูดเข้าใจกลางเรื่อยๆจนในที่สุดจะไปรวมกับ Photon ที่นิวเคลียส ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าสสารทั้งหลายในจักรวาลจะยุบตัวลงตลอดเวลา) และ Schroedinger ยังได้คิดสูตรเกี่ยวกับคลื่นของ electron ในวงโคจรรอบๆนิวเคลียสอีกด้วยสูตรนี้มีความสำคัญมากและเป็นพื้นฐานของวิชาเกี่ยวกับอะตอม (เคมีและอะตอมมิกฟิสิกส์) มาจนถึงปัจจุบัน และ Schroedinger ก็ได้รับรางวัลโนเบลจากสูตรนี้
มาถึงตอนนี้จึงสรุปได้ว่า electron และวัตถุทั้งหลายมีคุณสมบัติเป็นทั้งอนุภาคและคลื่นแต่ปัญหาก็คือว่าแล้วมันเป็นคลื่นชนิดใดกันเล่า
นักวิทยาศาสตร์ทุกคนแน่ใจว่าคลื่นของวัตถุมีอยู่จริงแต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นคลื่นชนิดไหน จนกระทั่ง Max Born นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันได้อธิบายว่า คลื่นนี้ไม่ใช่คลื่นทางกายภาพแต่เป็นคลื่นแห่งความเป็นไปได้หรือ Probability Wave และ Max Born ก็ได้รางวัลโนเบลไปจากทฤษฎีนี้ (ข้าพเจ้าเน้นถึงรางวัลโนเบลที่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ได้รับเพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังแค่ไหน)
Probability Waveของ Max Born หมายถึงว่าคลื่นของวัตถุเป็นคลื่นของโอกาสที่จะพบวัตถุในตำแหน่งต่างๆ ใน space ซึ่งหมายความว่าวัตถุไม่ได้ครองตำแหน่งที่แน่นอนใน space! ซึ่งขัดกับประสบการณ์ที่เราพบอยู่ วัตถุอยู่กับที่เสมอมันจะอยู่ตำแหน่งหนึ่งใน spaceจนกว่าจะมีแรงมากระทำให้มันขยับไปที่อื่น