ทำไมเราจึงไม่กล้าทำงานแบบบูรณาการ


การทำงานและการดำรงชีวิตที่บูรณาการจึงเป็นเรื่องที่ปกติของทุกคน และแต่ละคนก็ต้องการชีวิตที่บูรณาการ แต่ทำไมจึงมองเป็นเรื่องยากไปได้

 เวลาเราคุยกันเรื่องบูรณาการ มักจะมีคนพยายามอธิบายว่าเป็นเรื่องยาก ด้วยสาเหตุหลายประการ จนกระทั่งบางคนพยายามใช้คำผวนมาอธิบายว่า บานละนะกู  ที่สื่อว่าเป็นเรื่องที่ลำบากมากและอาจทำไม่ได้ 

แต่ถ้ามามองในสภาพความเป็นจริงนั้น ทุกคนมีชีวิตส่วนใหญ่แบบบูรณาการอยู่แล้ว แต่อาจมีเพียงบางมุมที่ไม่บูรณาการ

 เพราะไม่มีใครที่มีระบบร่างกายแยกส่วน อยู่คนละที่ หรือเส้นเลือดแยกออกจากกล้ามเนื้อ  หรือแม้แต่เรื่องรถ ก็ไม่มีใครสามารถขับรถที่มีส่วนประกอบไม่ครบ หรือใช้รถที่แต่ละส่วนทำงานไม่สอดคล้องกัน 

การทำงานและการดำรงชีวิตที่บูรณาการจึงเป็นเรื่องที่ปกติของทุกคน และแต่ละคนก็ต้องการชีวิตที่บูรณาการ แต่ทำไมจึงมองเป็นเรื่องยากไปได้ 

เท่าที่มานั่งพิจารณา ก็พบว่า เราเคยชินกับการคิดแยกส่วน จึงทำให้เวลานำสิ่งที่แยกกันในระบบคิดมารวมกันจึงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเพื่อให้ง่ายกว่าเดิม เราจึงต้องปรับวิธีคิดใหม่ ให้เริ่มจากการมองแบบองค์รวม

แม้จะมีบางจังหวะที่จำเป็นต้องมองแยกเพื่อความชัดเจนเฉพาะเรื่อง ก็ยังต้องมององค์รวมของระบบเป็นพื้นฐานทางความคิด อย่างน้อยก็มองเป็นอันดับสอง

เพื่อให้ภาพของการพัฒนาที่แท้จริงยังอยู่คงเดิม เมื่อส่วนบุคคลเริ่มมองภาพรวม ก็จะสามารถเชื่อมโยงปัญหา สาเหตุ แนวทางและวิธีการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง

ที่จะนำไปสู่การผสมผสานสู่การทำงานแบบองค์รวมให้เกิดการพัฒนาที่แท้จริงได้

แล้วเราก็จะได้ผลการพัฒนาที่ดีและยั่งยืนต่อไป 

หมายเลขบันทึก: 75862เขียนเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2007 00:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)
ถ้าเรามองแบบองค์รวมแล้วคิดไม่ออกทำไงคะ.......

บ้างคนตั้งคำถามว่าบรูณาการแล้วได้อะไรเลยไม่อยากบูรณาการ

อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนไม่กล้าที่จะบูรณาการเพราะไม่ได้ลงทุน เลยไม่อยากบูรณาการ

บูรณาการไม่ได้เสียประโยชน์มีแต่เกิดผลดี

ถ้าสมมุติเราไม่เปียบเทียบกับร่างกายละค่ะเราจะต้องบูรณาการอย่างไรถ้าเราคิดไม่ออกและไม่มีทุนหรือตัวช่วยอะไรประมาณนี้ละค่ะ
ทุกระบบต้องบูรณาการครับ ไม่งั้นสูญเปล่าครับ อย่างมากก็บังเอิญเท่านั้น

การบูรณาการ คือการที่ทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีขึ้น และเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ใช่ไหมค่ะ

ถ้าใช่ ก็แปลว่าคนส่วนใหญ่กลัวว่าดีขึ้นแล้วก็คิดว่างานจะเยอะขึ้น  ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆ  เพราะถ้างานเป็นระบบจะช่วยไม่ให้งานเกิดปัญหาความซ้ำซ้อน หรือ ถ้าเราต้องการข้อมูลก็ไปค้นที่ส่วนกลางซึ่งจะได้ข้อมูลทั้งหมด 

จากความคิดของผู้น้อย

 

การบูรณาการทำให้ประสิทธิภาพเพิ่ม แต่บางครั้ง (เท่านั้น) งานจะเพิ่มด้วยครับ แต่ไม่ใช่เพิ่มเปล่าๆ แต่จะมากับคุณค่าแบบทวีคูณ ที่คนไม่เคยทำจะไม่ทราบครับ แต่กลัวไปซะก่อน

เราก็ทำบูรณาการกันอยู่แล้วแต่เราอาจไม่รู้ตัวและไม่เข้าใจคำว่าบูรณาการจึงคิดว่ามันยาก

การทำบูรณาการ  ต้องมีความรู้เฉพาะทางมากหรือเปล่าครับ  เพราะว่าถ้าเกิดเราไม่รู้แล้วก็จะไม่สามารถทำงานแบบบูรณาการได้อย่างสมบรูณ์สิครับ  หรือว่าตั้งทำงานกันเป็นทีม  หาคนที่รู้เรื่องแต่ละด้านนำมาผสมก้นครับ 

        

         การบูรณาการในความคิดของเรา  ยังคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงได้ยาก  เพราะสังคมสอนให้คนมีวิธีคิดแบบปัจเจกมากไป จนมองอะไรแบบองค์รวมได้ยากขึ้นนะ  โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ดีอยู่นั่นเอง  อยากให้มีการพยายามทำกันให้มาก ๆ

การทำงานเป็นทีม ก็ช่วยได้มากครับ ทำได้ทันที แต่บูรณาการในตัวเองจะคล่องตัวกว่า แต่ต้องพัฒนาความสามารถในการทำงานมากครับ

 ทั้งสองอย่างมีข้อเด่นข้อด้อย ครับ

การที่ใครสอนเราอย่างไรก็เรื่องหนึ่ง

การที่เราจะเรียนรู้อะไรก็อีกเรือ่งหนึ่ง

ถ้าเราคิดว่าคนทำทุกอย่างเนื่องจากการสอน คงแทบจะไม่มีปัญหา ครับ เพราะการสอนส่วนใหญ่ดีทั้งนั้น

ไม่มีพ่อแม่คนไหนสอน หรือยากให้ลูกติดอบายมุข แต่ทำไมจึงมีคนตืดกันมาก

ลองคิดดูใหม่นะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท