วันนี้ได้รับข่าวจากศิษย์รัก คุณทรงธรรม แห่งบ้านสว่างงิ้วงาม เกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงโค ได้ฟังแล้วตกใจ
อาจารย์ครับ ผมเกือบซวยแล้วครับ ซื้อโคมาไม่ทันไร เจอดีเสียแล้ว
ก็โคตัวที่ซื้อมาใหม่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วออกอาการเป็นโรคปากและเท้าเปื่อย แยกออกจากฝูงเกือบไม่ทัน
ยังดีนะครับที่ยังไม่แสดงอาการมาก ผมเลยจัดการได้ซะอยู่หมัด
อ้าวจัดการได้แล้วซวยตรงไหน รีบถามลูกศิษย์ทันที
ลูกศิษย์บอก ก็ซวยที่ต้องเพิ่มต้นทุนและเสียเวลาในการรักษาและป้องกัน แต่ไม่เป็นไรครับ ได้บทเรียนใหม่ ๆ ว่าก่อนซื้อโคมาเลี้ยงควรตอบสอบประวัติให้แน่ใจและดูอาการโคให้เป็น
รีบถามต่อว่าจัดการอย่างไร
โอ้ย! หลายขั้นตอนครับ
ขั้นแรกผมหาความรู้ ค้นตำราที่เรียนมาว่าจะทำอย่างไร ก็แยกโคออกจากฝูง และบันทึกอาการโคให้ละเอียด
ขั้นที่สองรีบหาตัวช่วยที่ใกล้ตัวคือพ่อครับ พ่อบอกอาการไม่รุนแรงยังพอแก้ไขได้ ผมก็งง! แก้ไขยังไง พ่อไม่ใช่สัตวแพทย์สักหน่อย ผมคิดได้อย่างเดียวซื้อยามาฉีดหรือให้หมอฉีดยาให้ก็จบ แต่พ่อยังยืนยันว่ารักษาได้เพราะเพิ่มเริ่มเป็นรักษาได้ก่อนที่แผลจะติดเชื้อ ผมก็ยังสงสัย จะรักษาได้จริงหรือ พ่อผมก็ถามกลับ แล้วเวลาเอ็งปากเปื่อยแล้วอมเปลือกแคทำไมมันหายว่ะ เอาหล่ะ เชื่อก็เชื่อ ไม่เสียหลาย ถ้าไม่หายก็ให้หมอรักษา
ขั้นที่สามผมจึงรีบไปหายาพื้นบ้าน ตามตำนานยาคนแก่ จำพวกเปลือกไม้ที่มีรสฝาด ผมได้เปลือกต้นแค เปลือกต้นสีเสียด เปลือกต้นมะขามเทศ เปลือกต้นหม่อน เปลือกไม้แดง มาต้มรวมกัน รอให้เย็นก็นำมาล้างแผล ล้างปากให้โค
ยังไม่พอครับ พ่อบอกให้เอาไพลมาโขลกผสมกับมะเฟืองเกลืออีกนิดหน่อย เอาให้กรอกให้โคกิน
ส่วนกีบเท้าโคก็ใช้น้ำสบู่หรือน้ำผสมผงซักฟอกมาเช็ดล้างทำความสะอาด
แค่ 3 เห็นผลครับ บรรดาตุ่มทั้งหลายที่ขึ้นที่ปากโคหายวับ ไม่แตกไม่ยับเรียบเนียนเหมือนเดิม
ขั้นที่สี่ผมทั้งโล่งและดีใจ รีบโทรมารายงานอาจารย์ทันทีครับ
ก็ได้แต่แสดงความยินดีและย้ำให้รีบฉีดวัคซีนป้องกันทุกตัวอีกรอบ
ทรงธรรมบอก "ครับพรุ่งนี้ทุกตัวต้องเจอเข็มทิ่มกันทั่วหน้า"
ก็ได้แต่ดีใจที่ลูกศิษย์คิดได้ทันและทำได้เร็ว ด้วยการรีบหาความรู้ หาตัวช่วย และลงมือทำตามคำแนะนำ และได้กำลังใจและเห็นผลงานจากการปฏิบัติอย่างแท้จริงไม่ทิ้งความรู้ของท้องถิ่น ที่คิดว่าอนาคตเขาจะเป็นคนเลี้ยงโคที่ประสบความสำเร็จได้แน่นอน
ขอบคุณค่ะ
ช่องความคิดเห็น
เขาไม่ได้มีไว้ให้เขียน ยกก้น กันเองเท่านั้น
มีไว้ให้สะท้อนความคิด ว่าจะต่อเสริมเรื่องที่ผู้เขียนให้แตกกิ่งความรู้ออกไปอย่างไร
เลิกเสียทีกับการใช้พื้นที่ตรงนี้เขียนเรื่องเจ๊าะแจ๊ะ เราเป็นนักเรียน ไม่ใช่เด็กซิ่งเด็กซ่า อย่าฉุดตัวเองลงไปตรงนั้น
ถามว่าเจ๊าะแจ๊ะได้ไหม ได้ ถ้าทำเป็น เจ๊าะแจ๊ะมันก็มีระดับของมัน อย่าไปทื่อๆเพราะเราไม่ใช่ขอนไม้ สังเกตุมานนแล้ว ถ้าอยู่ใกล้อยากจะถี..ให้ตกเก้าอี้ มันส่อให้เห็นความมักง่ายที่จะช่วยกันคิด ไม่ใส่ใจในเนื้อหาที่อ่าน จึงไม่เกิดการร่วมเรียนรู้ที่แท้จริง!!!!
ค่อยดูมีชีวิตหน่อยครับ
แต่ควรมีข้อสรุปครับ
ว่า
นิทานเรื่องนี้ สอนว่าอะไร
ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ข้อคิดเห็น จะฝึกปรือวิทยายุทธเพิ่ม ให้งานมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นค่ะ
ขอบคุณค่ะ