เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๐ สถาบันวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (สพช.) ได้จัดประชุมเพื่อประมวลและสังเคราะห์ประสบการณ์ “การพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ ในการดำเนินงานป้องกันประชากรกลุ่มเสี่ยงและการบริบาลดูแล ป้องกันผู้มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง” ที่โรงแรมริชมอนด์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
ในการประชุมครั้งนี้ทาง สพช.ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์มานำเสนอรูปแบบการพัฒนาบุคลากรที่ตนดำเนินการอยู่ ซึ่งมาได้ ๗ คนด้วยกันคือ พญ.อารยา ทองผิว รพ.เปาโลเมโมเรียล ในฐานะอดีตนายกสมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน พญ.ฉายศรี สุพรศิลป์ชัย ผู้อำนวยการสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นพ.สุริยะ วงศ์คงคาเทพ สาธารณสุขนิเทศ เขต ๓ กระทรวงสาธารณสุข พญ. สุพัตรา ศรีวณิชชากร ผอ.สพช. เอง คุณกมลาภรณ์ คงสุขวิวัฒน์และคุณอรอนงค์ ดิเรกบุษราคม ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาสุขภาพภาคประชาชน ภาคเหนือ จังหวัดนครสวรรค์ และดิฉัน ในนามของผู้ประสานงานเครือข่าย KM เบาหวาน โดยมี นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำหน้าที่ดำเนินการอภิปรายและเจาะลึกประเด็นต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีผู้เข้าร่วมประชุมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอีก ๖ คน ในจำนวนนี้มีสมาชิกเครือข่ายของเราคือ นพ.ปรเมษฐ กิ่งโก้ รอง สสจ.สกลนคร และ หมอฝน พญ.สกาวเดือน นำแสงกุล รพ.ครบุรี นครราชสีมา ร่วมอยู่ด้วย
ผู้จัดการประชุมคือ สพช. มีการเตรียมการล่วงหน้าและได้กำหนดประเด็นการนำเสนอประสบการณ์ไว้ ๔ หัวข้อคือ
๑. Design ของหลักสูตร (ขอบเขตเนื้อหา ประกอบด้วย ที่มา หลักการ และเป้าหมายของหลักสูตร กลุ่มเป้าหมายและสมรรถนะที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และการออกแบบกระบวนการพัฒนา)
๒. กระบวนการและวิธีการนำหลักสูตรไปใช้
๓. ผลลัพธ์ เงื่อนไขกำหนด ต้นทุนที่ลงทุน และวิธีการประเมินผล
๔. ข้อพึงระวัง/เงื่อนไขปัจจัยที่ควรคำนึงถึงต่อการนำหลักสูตรไปใช้
กล่าวง่ายๆ คือ สพช.ต้องการรู้วิธี approach ของแต่ละประสบการณ์ ถ้าจะนำไปใช้ต่อ จะมีวิธีการอย่างไร อะไรที่ยังเป็น gap ที่ต้องไปพัฒนาต่อ
นพ.พงษ์พิสุทธิ์ หารือวิธีดำเนินการประชุม สรุปได้ว่าให้ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้มีประสบการณ์นำเสนอก่อน โดยให้นำเสนอสั้นๆ แล้วให้ซักถาม จบแล้วจึงเปิดอภิปราย นพ.สุริยะ นำเสนอก่อนเป็นคนแรก อาศัยบทเรียนจากที่ได้เข้าไปช่วยงานใน ๓ จังหวัดและการศึกษาพื้นที่ ๗-๘ จังหวัดของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ใน setting ชนบท ตามด้วย พญ.สุพัตรา ที่ clarify จุดประสงค์ของการประชุมวันนี้เพิ่มเติม ก่อนที่จะเล่าถึงกระบวนการพัฒนาบุคลากรที่ได้ทำมา พญ.ฉายศรี นำเสนอต่อโดยเริ่มจากการนิยาม chronic disease เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เรื่องราวของภาระโรค ปัจจัยเสี่ยง โซ่สาเหตุและการจัดบริการที่แสดงให้เห็นว่าการป้องกันและการดูแลรักษาต้องทำไปพร้อมกัน ต้องเพิ่มคุณภาพการดูแล จะจัดการแบบเดิมๆ ไม่ได้ และอีกหลายสาระที่ช่วยให้มองเห็นว่าต้องมีการพัฒนาบุคลากรในเรื่องใดบ้าง เช่น การสื่อสารเรื่องความเสี่ยง เป็นต้น
นพ.พงษ์พิสุทธิ์ กระตุ้นผู้เข้าประชุมให้ช่วยกันคิดว่าในการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังนั้น บุคลากรที่พึงประสงค์ควรมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องมีทักษะอะไรบ้าง จุด start ในการพัฒนาคืออะไร (crucial point) ผู้เข้าประชุมร่วมออกความเห็นกันอย่างคึกคัก อาทิ นพ.ปรเมษฐ์กล่าวว่า “ถ้าให้ทัพหน้าคิดเอง ทำเอง อาจเป็นหายนะ ต้องมีนโยบาย มีการออกแบบ และมีการลงทุน เช่น เมื่อคัดกรองแล้ว เอาข้อมูลไปทำอะไรต่อ" ในขณะที่หมอฝนมองต่างกัน เพราะชอบคิดเองทำเอง ว่าอยากเห็นการพัฒนาบุคลากรว่าทำอย่างไรให้คนทำงานคิดเป็นคิดได้ มองคนไข้เป็นครู ชุมชนคือความร่วมมือ และมีความเห็นว่ากระบวนการ CQI สั่งไม่ได้จากข้างบน
นพ.สุริยะเปรียบเทียบกับการศึกษาธรรมะ ว่า “ไม่มีรูปแบบเดียว” มี spectrum ตั้งแต่สร้างพิธีกรรมจนถึงเรียนรู้แก่นพุทธศาสนา ไม่ต้องหาโมเดลเดียว แต่ให้รู้ว่าโมเดลอะไรให้ return เป็นอย่างไร พญ.ฉายศรีให้แนวหลักการในการพัฒนานวัตกรรมการดูแลสถานะสุขภาพที่เรื้อรัง รวมทั้ง พญ.สุพัตราที่กล่าวว่าจุดคลิกในการพัฒนาเจ้าหน้าที่คือการเห็นชัดตระหนักว่าตนเองจะต้องมีบทบาทอย่างไร การมีกรอบแนวทางในการทำงาน ทำตามแล้วเรียนรู้ ส่วนเนื้อหาในการพัฒนาจะแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าจะให้เขามีบทบาทแค่ไหน
กว่าจะหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันกันได้ เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึง ๑๒.๓๕ น.แล้ว ภาคบ่ายเริ่มการประชุมเมื่อเวลา ๑๓.๓๕ น. เหมือนจับเวลาเอาไว้เลย นพ.พงษ์พิสุทธิ์ทบทวนอีกครั้งว่าเป้าหมายของการประชุมวันนี้พูดถึงการพัฒนาผู้ให้บริการ ซึ่งต้องรู้ว่าเราคาดหวังจะให้คนเหล่านั้นไปทำอะไร เราจะสร้างและพัฒนาคนให้เหมาะกับการทำงานตรงนั้นอย่างไร ที่พูดไปแล้วคือเครื่องมือและ approach สำหรับเรื่องของระบบสนับสนุนและรูปแบบการจัดบริการ ไม่ใช่เป้าหมายหลักของการประชุมวันนี้
พญ.อารยา ทองผิว นำเสนองานของสมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน ที่มีการจัดอบรมหลายหลักสูตร แผนการ certified และพัฒนาผู้ให้ความรู้แต่ละระดับ ตามด้วยดิฉันที่เล่าเรื่องการพัฒนาทีมดูแลผู้ป่วยเบาหวานโดยใช้ KM เป็นเครื่องมือ ซึ่งเป็น approach ที่ทำให้เกิดการทำงานเป็นทีม-เป็นเครือข่าย เป็นการเรียนรู้จากความสำเร็จของผู้อื่น ทำให้ได้รู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่น Gap ที่ยังมีอยู่คือการติดตามและกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะหลายพื้นที่ยังขาด knowledge facilitator ปิดท้ายด้วยทีมจากนครสวรรค์ที่นำเสนอหลักสูตรการดูแลสุขภาพวิถีไทยสบาย เป็นเรื่องของการแพทย์ทางเลือกและธรรมชาติบำบัด
พญ.ฉายศรี ให้ความเห็นว่าการพัฒนาบุคลากรของเรามีหลายหลักสูตรในประเทศ แต่ยังไม่ได้มีการประเมินผลอย่างจริงจัง สำหรับของสมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน มีความต่อเนื่องมากกว่า ในส่วนของ KM หมอฝนบอกว่าลูกน้องที่ได้มาร่วมกิจกรรม ได้กำลังใจ รู้ว่าตนเองขาดอะไรแล้วหาเติม นพ.ปรเมษฐ์เสริมว่าเป็นสิ่งที่น่าทำ เพราะนอกจากจะได้ความรู้แล้วยังได้กำลังใจ ขยายต่อได้เร็วมาก ขยายในเรื่องอื่นก็ได้ เพราะไม่ใช่เวทีที่บล๊าฟกัน
ช่วงสุดท้าย แต่ละคนได้พูดว่าตนได้รู้อะไร อยากได้อะไร (จากหลักสูตร) อยากเสนอแนะอะไร ดิฉันเก็บรายละเอียดมาไม่หมด แต่ทีมงานของ สพช.มีการบันทึกและคงจัดทำเป็นรายงานต่อไป ในความรู้สึกของดิฉัน ดีใจที่เห็นว่า KM มีที่ยืนในการพัฒนาบุคลากรและได้รับการยอมรับ นพ.พงษ์พิสุทธิ์กล่าวว่า “มีคนทำดีในพื้นที่ น่าสนใจว่าเขามีแรงบันดาลใจและเริ่มต้นมาอย่างไร....เรียนรู้จากอาจารย์วัลลาว่าสามารถเอาคนที่ทำดีมา share และขยาย...”
ก่อนปิดการประชุม พญ.สุพัตราได้สรุป ๔ ประเด็นคือ (๑) การพัฒนาบุคลากร อย่า fix รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง (๒) การพัฒนาบุคลากรต้องการ components ๔ อย่างคือ แนวคิด วิธีคิด, กำลังใจ แรงบันดาลใจ, ความรู้ ทักษะ, ประสบการณ์ (๓) จุดเริ่มต้นจะเป็นแบบไหนอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับ stage ของแต่ละคน อาจเริ่มแตกต่างกัน KM ไปช่วยจุดไฟใส่ฟืน และ (๔) การเลือกประยุกต์ความรู้และเทคโนโลยีเฉพาะ เช่น เรื่องของความเสี่ยง
วัลลา ตันตโยทัย วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๐
เสียดายจัง ไม่ได้มีโอกาสเข้าประชุม
แต่อ่านบันทึกของอาจารย์ แล้ว มองเห็นภาพครับ