วันนี้ (๑๒ ธค. ๔๙) สภามหาวิทยาลัยมหิดลไปเยี่ยมชื่นชม ๕ หน่วยงานในวิทยาเขตศาลายา ได้แก่ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, สถาบันวิจัยประชากรและสังคม, สถาบันสัตว์ทดลองแห่งชาติ, คณะสัตวแพทยศาสตร์, และคณะศิลปศาสตร์
ที่จริงเราตกลงกันว่าให้นำเสนอความภาคภูมิใจ หรือความสำเร็จ เพื่อชื่นชมกัน และสนทนาหาทางขยายความสำเร็จนั้น แต่คราวนี้ผิดคิว ผู้นำเสนอไม่ค่อยพูดเรื่องความสำเร็จ แต่เน้นบ่นเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในมหาวิทยาลัย และบ่นว่าคณะด้านสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ถูกทอดทิ้ง ผู้อำนวยการศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติถึงกับบอกว่าหน่วยงานของตนเหมือนตกสำรวจ หรือเป็นพลเมืองไร้สัญชาติ เพราะของบประมาณทีไรเป็นถูกตัดทุกที
โชคดีที่มีคุณหมอพรเทพ รัตนากร คณบดีคณะสัตวแพทย์อยู่ด้วย และท่านได้เล่ากลยุทธในการใช้โอกาสในการทำงานแบบทวนกระแสด้านโรคหวัดนก ร่วมกับพันธมิตรที่เป็นหน่วยราชการตกสำรวจเหมือนกัน จนได้งบประมาณมาสร้างห้อง แล็บระดับ ๓ เพื่อวิจัยเช้อไวรัสหวัดนก ผมจึงได้บทสรุปของการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ว่า ธรรมชาติของงานแต่ละประเภทมัน "เข้าตากรรมการ" ไม่เท่ากัน ผู้บริหารหน่วยงานแบบนี้ต้องใช้ "ยุทธศาสตร์พันธมิตร"
ผมบอกที่ประชุมว่า ผมเองก็สร้างตัวมาจากหน่วยงานประเภท back of the back office เหมือนกัน (ผมมานึกได้ทีหลังว่า น่าจะเรียกว่าเป็นหน่วยงานปิดทองหลังพระ) ไม่มีคนเห็นความสำคัญ คือหน่วยพันธุศาสตร์ ที่มีหน้าที่ให้บริการตรวจโครโมโซม ผมต้องคลำหาทางอยู่หลายปี ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถดึงดูดความสนใจให้ผู้บริหารและประชาคมในคณะเห็นความสำคัญ ในที่สุดผมก็ใช้ยุทธศาสตร์พันธมิตรนี่แหละ ผมอาศัยพันธมิตรในหน่วยงานที่ "ปิดทองที่พักตร์พระ" เป็นผู้บอกต่อผู้บริหารว่าเขาต้องการให้หน่วยงานของผมทำอะไร แล้วผมก็เสนอว่าจะให้บริการเหล่านั้นต้องการ คน เครื่องมือ และงบประมาณอย่างไรบ้าง
ผมมีความเชื่อว่า ไม่ว่าเราจะทำงานตรงส่วนไหนของ "พระ" เรามีโอกาสสร้างผลงานที่เป็นที่ยอมรับได้เสมอ ถ้าเราอยู่ใน real sector (หมายความว่าทำงานจริง ไม่ใช่ผักชีโรยหน้า) เพียงแต่ว่า เราต้องเข้าใจธรรมชาติของงานและผลงาน และรู้จักสร้างการยอมรับในผลงาน ซึ่งถ้าทำโดยตรงไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีทางอ้อม ผ่านพันธมิตร
วิจารณ์ พานิช
๑๒ ธค. ๔๙
อ่านแล้วมีกำลังใจในการทำงานขึ้นมาก ขอบคุณมากๆค่ะอาจารย์
ดิฉันชอบมากเลยกับคำว่า "ปิดทองหลังพระ" เพราะการทำงานที่เรียกว่าปิดทองหลังพระนั้น เป็นการทำงานที่มีความสุขจริง ๆ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน และเป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจ และความรับผิดชอบเป็นพื้นฐาน ส่วนผลดีที่จะได้รับตอบแทนนั้นเป็นเรื่องของ "ผล" ที่ตามมา ถึงแม้จะไม่มีอะไรตอบแทนเราเองก็มีความสุขในการกระทำสิ่งนั้น และรับรองได้ว่า "ผล" ที่เกิดจากการกระทำ "ปิดทองหลังพระ" เป็นผลที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพอย่างแท้จริง
ป้าศินา
ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ
ได้ความคิดดีๆ ไปฝากหลายคน และแนะนำให้ว่าต้องเข้ามาอ่านเอง ดีๆกว่าที่เล่าให้ฟังอีกเยอะเลย
รวิวรรณ เป็น ประชาสัมพันธ์ให้ Gotoknow ประจำรพ เชียงรายค่ะ